Monday, May 17, 2010

เทคนิค การขับขี่ : การเบรก


(From: stormrider.com)
ดูภาพขนาดเต็ม
(1) การเบรก เป็นเรื่องแรกที่ผมจะบรรยายในทุกๆคอร์ส
ดูภาพขนาดเต็ม
(2) ภาพจำลอง การกดเบรกหน้าอย่างเดียว
ดูภาพขนาดเต็ม
(3) ภาพจำลอง การกดเบรกหลังอย่างเดียว
ดูภาพขนาดเต็ม
(4) ภาพจำลองระยะเบรก ที่ความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ล้อไม่ล็อค)
ดูภาพขนาดเต็ม
(5) ภาพแสดงการถ่ายน้ำหนักของรถ เมื่อเกิดการเบรก - โปรดสังเกตุบริเวณยางที่ถูกน้ำหนักกดลงบนพื้นถนน
ดูภาพขนาดเต็ม
(6) การทดสอบระยะเบรกโดยใช้เบรกหลังอย่างเดียวให้ล้อล็อค

เบรกคืออุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดสำหรับยานพาหนะ แต่น่าแปลกที่คนไทย (เท่าที่ผมเจอ) ให้ความสนใจเรื่องเบรกน้อยมาก พอสตาร์ทรถเป็น ออกตัวได้ก็ “ฉันขี่รถได้แล้วว้อยยย...” สนใจแต่ว่ารถคันนี้ความเร็วสูงสุดเท่าไหร่? เทียบกันรุ่นนั้นแล้วคันไหนแรงกว่า? ฯลฯ ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะทำยังไงถึงจะหยุดรถได้ในระยะทางที่สั้นที่สุด หรือจะใช้เบรกในการคอนโทรลรถอย่างไร

เชื่อหรือไม่ว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์มากกว่า 50% ใช้เบรกไม่ถูกต้อง!!!

ตั้งแต่ผมเริ่มขี่มอเตอร์ไซค์มา ได้รู้จักกับผู้ขี่มากมายหลากหลายทั้งรถเล็ก รถใหญ่ ทั้งเพิ่งเริ่มขี่จนถึงขี่มาเป็น 10 ปี มีหลายสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านั้นใช้เบรกไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีคนสอนเลยหัดเองและคิดว่าถูกต้องแล้วจึงทำแบบนี้มาตลอด, มีคนสอนแต่คนที่สอนเองก็ทำไม่ถูกเลยพาลผิดกันต่อไป, ฯลฯ คราวนี้เราลองมาดูกันว่าผลที่ได้ (ซึ่งมันผิด) มีอะไรบ้าง

• ใช้เบรกหลังเป็นหลัก (ใช้เบรกหน้าน้อยมากหรือแทบไม่ใช้เลย)
• กำคลัทช์เวลาเบรก
• เข้าใจว่าเบรกหน้าแล้วจะทำให้รถพับล้ม หรือตีลังกา
• เข้าใจว่าเบรกจนล้อล็อกเป็นการเบรกที่ดี

เหล่านี้คือความเข้าใจที่ผิดทำให้การเบรกไม่ถูกต้อง จึงต้องใช้ระยะทางเบรกมากกว่าที่ควร ซึ่งอาจไม่เพียงพอในสถานการณ์คับขันและเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ เอาหล่ะ... เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าเบรกที่ดี ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

โดยหลักๆ แล้ว เบรกแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1. เบรกหน้า (Front Brake)
เป็นเบรกที่ให้ประสิทธิภาพในการหยุดรถดีที่สุด แต่จะทำให้รถเสียความสมดุล : จาก ภาพที่(2) จะเห็นว่าจากตำแหน่งของรถและผู้ขี่ในสภาวะปกติ(ภาพลายเส้นสีฟ้า) เมื่อกดเบรกหน้า น้ำหนักเกือบทั้งหมดของรถจะถูกเหวี่ยงมาด้านหน้าผ่านโช้คลงไปสู่ล้อหน้า (นี่แหละที่มาของคำว่า “เบรกหัวทิ่ม”) ณ จุดนี้จึงเป็นการลดความเร็วของรถทั้งคันอย่างแท้จริง (เพราะมันมารวมอยู่ที่ล้อหน้าเกือบหมดแล้ว) แต่ด้วยน้ำหนักดังกล่าวนี้เองทำให้ช่วงหน้าหนักเป็นผลให้รถเลี้ยวยาก

2. เบรกหลัง (Rear Brake)
ให้ประสิทธิภาพในการเบรกน้อยกว่า แต่รถมีความสมดุลมากกว่า : จาก ภาพที่(3) เนื่องจากเมื่อกดเบรกหลังจะมีน้ำหนักบางส่วนกดลงมาที่ล้อหลังแต่ส่วนใหญ่จะ ยังคงถูกเหวี่ยงไปยังด้านหน้าของรถตามแรงโมเมนตัม ณ จุดนี้จึงเป็นการลดความเร็วเพียงบางส่วนของทั้งหมด เพราะความเร็วส่วนที่เหลือได้ถ่ายไปยังด้านหน้ารถ (ฉะนั้นถึงแม้เบรกจนล้อหลังล็อค รถก็ยังคงวิ่งต่อไปได้ด้วยล้อหน้า) ทำให้ใช้ระยะทางในการเบรกมากกว่า แต่นี่เองทำให้น้ำหนักของรถกระจายไปยังล้อหน้า-หลังอย่างสมดุลเป็นผลให้ควบ คุมรถในขณะเบรกได้ง่าย

วิธีการเบรกที่ถูกต้องจะใช้เบรกหน้าและหลังเป็นหลัก และ จากคุณสมบัติของเบรกที่กล่าวมาข้างต้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่า การเบรกที่ดีควรให้น้ำหนักการกดเบรกหน้าประมาณ 70-80% และหลังประมาณ 20-30% และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรกดเบรกหลังก่อนเล็กน้อยเพื่อการกระจายน้ำหนักและ ประสิทธิภาพการเบรกที่ดีกว่า แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ให้กดพร้อมกันเลย

ทำไมต้องกดเบรกหลังก่อน ?
จากหลักการที่เขียนไว้ข้างต้นลองดู ภาพที่(5) แล้วนึกตามนะครับ ถ้าเรากดเบรกหน้าก่อน น้ำหนักส่วนใหญ่จะถูกเหวี่ยงมาที่ล้อหน้า(มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักการ กดเบรก) ฉะนั้นที่ล้อหลังก็จะไม่มีน้ำหนักกดอยู่หรือมีก็เพียงเล็กน้อย ทำให้หน้าสัมผัสยางกับพื้นถนนมีน้อย ดังนั้นเมื่อเรากดเบรกหลังในจังหวะต่อมาจึงแทบไม่ได้ช่วยลดความเร็วของรถแต่ อย่างใด (เหมือนยางลบซึ่งถ้าไม่ออกแรงกดมันก็จะไม่ฝืด ทำให้ถูไถลได้ง่าย) ซึ่งในกรณีนี้ไม่ต่างอะไรกับการใช้เบรกหน้าเพียงอย่างเดียว ..........

แต่ถ้าเรากดเบรกหลังก่อน
น้ำหนักบางส่วนจะกดไปยังล้อหลังทำให้การเบรกนี้ช่วยชะลอความเร็วได้ในระดับ หนึ่งก่อนที่น้ำหนักดังกล่าวจะถูกส่งไปด้านหน้ารถตามโมเมนตัม ซึ่งเมื่อกดเบรกหน้าในจังหวะต่อมาหลังจากความเร็วได้ลดลงมาบ้างแล้ว ทำให้ระยะเบรกที่ได้สั้นกว่าการเบรกหน้าเพียงอย่างเดียว อีกทั้งบาลานซ์ของรถก็ดีกว่าเพราะมีน้ำหนักกดอยู่ทั้ง2ล้อ

ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการเบรก

“เบรกหน้าแล้วจะทำให้รถพับล้ม หรือตีลังกา…!!!” นี่ คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนขี่มอเตอร์ไซค์บ้านเราใช้เบรกหลังเป็นหลัก(ซึ่งไม่ ถูกต้อง)... สาเหตุหลักอย่างนึงที่ทำให้คิดแบบนี้คือมีประสบการณ์จากการขี่จักรยาน ที่เมื่อกดเบรกหน้าอย่างกระทันหันจะทำให้หน้าทิ่มจนล้อหลังลอยขึ้นจากพื้น หรือรถพับล้ม แต่ผมยืนยันได้เลยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยากกับรถมอเตอร์ไซค์เพราะ 1.น้ำหนักมากกว่า(เยอะ)
2.มีโช้คอัพหน้าคอยซับแรง(น้ำหนัก)
ที่ถูกถ่ายมาเมื่อทำการเบรก ฉะนั้นไม่ต้องกลัวครับ มันไม่ล้มง่ายอย่างที่คุณคิดหรอก!

งั้นเรามาลองฝึกกันซะหน่อยดีมั๊ย... ในช่วงเริ่มต้นหัด ใช้เบรกหน้าอาจจะยังไม่ชินจึงรู้สึกว่าเวลาเบรกรถจะมีอาการหน้าทิ่ม (ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากเวลาคุณหัดขับรถยนต์แล้วลองเบรกหรอกครับ ผมรับรองได้ร้อยทั้งร้อยหัดขับครั้งแรกก็เบรกหัวทิ่มทุกคน) ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคุณใช้น้ำหนักในการกดเบรกมากเกินไปหรืออาจกดเร็วเกินไป วิธีแก้คือฝึกใช้เบรกหน้าบ่อยๆเพื่อหาน้ำหนักการกดเบรกที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากค่อยๆกด ช้าๆ อย่ากดอย่างกะทันหัน แรกๆอาจใช้ระยะทางมากหน่อยแต่เมื่อคุณเริ่มชินกับน้ำหนักเบรกและมีความมั่น ใจมากขึ้น คุณจะสามารถเบรกได้ในระยะทางที่สั้นและนุ่มนวล

เอี๊ยดดด!!!............ อยู่???” (การเบรกจนล้อล็อก) เสียง ยางถูกับถนนอาจทำให้บางคนรู้สึกว่าเป็นเสียงของการเบรกที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว เสียงนี้คือสัญญาณอันตรายที่บอกคุณว่า “เบรกไม่อยู่แล้วโว้ย...สละยาน!!!” เพราะเสียงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราเบรกจนล้อหยุดหมุนหรือล้อล็อคโดยที่รถยังคง วิ่งอยู่ (กรณีนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการกดเบรกหลัง เพราะถ้าคุณกดเบรกหน้าจนล็อคหล่ะก็ผมว่าตอนนั้นตัวคุณคงลอยอยู่กลางอากาศ แล้ว...) นั่นหมายความว่าเบรกไม่ได้ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วอีกต่อไปเพราะล้อหยุด หมุนแล้ว แต่รถยังคงไถลไปตามแรงเหวี่ยงจากความเร็วที่วิ่งมา โดยเสียง”เอี๊ยด” ดังกล่าวเกิดจากการที่ยางถูกถูไถลไปกับพื้นถนน ส่วนจะไถลไปไกลขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าก่อนที่ล้อจะล็อคนั้นความเร็วอยู่ที่ เท่าไหร่ ถ้าเร็วน้อยก็ไถลไปพอขำๆ แต่ถ้าเร็วมากก็คงจะต้องมาดูกันอีกทีครับว่ารถกะคนขี่ อะไรจะไถลไปได้ไกลกว่ากัน!!!...

ลองดูใน ภาพที่(6) ซึ่งเป็นการทดลองเบรกจนล้อหลังล็อค แล้วทำการเช็คระยะทางที่ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยให้ผู้ขี่ 3 คนทดลองเบรกจนล้อหลังล็อคที่ความเร็วสองระดับ

ผลที่ได้คือ

- ความเร็ว 48 กม./ชม. ระยะเบรกเฉลี่ย 40.5 เมตร
- ความเร็ว 80 กม./ชม. ระยะเบรกเฉลี่ย 128.5 เมตร

จะเห็นได้ว่าเมื่อเทียบกับการเบรกแบบล้อไม่ล็อคใน ภาพที่(4) ระยะทางที่ได้ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด (ความเร็ว 60 กม./ชม. ใช้ระยะทางเพียง 35 เมตร) นั่นแสดงว่าไอ้การเบรกจนล้อล็อคเนี่ยเป็นการเบรกที่ไม่มีประสิทธิภาพ (ไม่งั้นเค้าคงไม่คิดระบบ ABS ขึ้นมาใช้หรอก จิงมะ) ฉะนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ดังกล่าวเราจึงควรฝึกเบรกบ่อยๆ ทั้งหน้าและหลังเพื่อหาว่า เราจะสามารถกดเบรกได้มากที่สุดเท่าไหร่โดยที่ล้อจะไม่ล็อค

“กำคลัทช์เวลาเบรก”
อันนี้เดาว่าน่าจะมาจากการที่คนขี่กลัวรถจะดับ สำหรับท่านที่เคยหัดขี่รถมอเตอร์ไซค์มีคลัทช์คงจะจำกันได้ถึงตอนที่เราหัด ขี่แรกๆ พอเบรกเพื่อจอดรถแล้วลืมบีบคลัทช์นี่รถมันจะกระตุกแล้วพาลจะล้มตลอด(ซึ่ง เป็นอะไรที่เสียฟอร์มมาก) ดังนั้นเพื่อป้องกันการผิดพลาดเราเลยกำคลัทช์พร้อมเบรกซะเลย... ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผิดในการเบรกเพราะเมื่อกำคลัทช์รถจะไม่มีเอนจิ้นเบรก ทำให้รถยิ่งไหลเร็วขึ้น จึงต้องใช้ระยะเบรกมากขึ้นและยังทำให้ล้อล็อคได้ง่ายกว่าปกติด้วย

** ข้อควรจำสำหรับการใช้คลัทช์
โดยปกติเราจะใช้คลัทช์เพื่อเปลี่ยนเกียร์ หรือป้องกันรถดับที่ความเร็วต่ำๆเท่านั้น เช่นก่อนการหยุดหรือจอดรถ (0-10 กม./ชม.)

เอาหล่ะสำหรับเรื่องเบรกเบื้องต้น ก็ขอเอาไว้เท่านี้ก่อนนะครับ หวังจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับบางคนที่ยังไม่รู้หรืออาจจะเป็นการฟื้นความจำ สำหรับบางคนที่เคยรู้แต่ลืมๆ ไปบ้าง และที่สำคัญถ้ามีโอกาสก็ควรจะหาเวลาไปฝึกฝนบ้างนะครับ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง แล้วเจอกันคอลัมน์หน้านะคร้าบ...

Study: Chocolate and depression go hand in hand

Eating chocolate may be a form of self-medication for depressed  people or it may simply be a comfort food.

(Health.com) -- When Dina Khiry is feeling a bit down, she reaches for chocolate. "I like Reese's peanut butter cups, Hershey's bars, and chocolate cake batter," says the 24-year-old public relations associate. "I feel better in the moment -- and then worse later on, when I realize that I just consumed thousands of calories."

Khiry's emotional relationship with chocolate isn't uncommon, new research suggests. According to a study published this week in the Archives of Internal Medicine, people who feel depressed eat about 55 percent more chocolate than their non-depressed peers. And the more depressed they feel, the more chocolate they tend to eat.

Although gorging on chocolate and sweets to beat the blues has become a cliché thanks to sitcoms and romantic comedies, there's been "little prior scientific literature linking chocolate and depression," says the lead author of the study, Dr. Beatrice Golomb, a professor of medicine at the University of California at San Diego School of Medicine. The study, she says, provides evidence to support "the popular perception that when people need a pick-me-up, they pick up chocolate."

It's unclear, however, whether depressed people eat more chocolate simply because they crave it, or whether chocolate consumption itself somehow contributes to a depressed mood.

In the study, Golomb and her colleagues surveyed more than 900 people about their weekly chocolate consumption and their overall diet. They also gauged the moods of the participants using a standard questionnaire used to screen for depression. (People who were taking antidepressants were excluded from the study.)

Health.com: How to make chocolate a healthy indulgence

The men and women who were considered to be depressed ate 8.4 servings of chocolate per month, while their counterparts who weren't depressed consumed just 5.4 servings each month.

Study participants who scored higher on the depression scale ate even more chocolate, nearly 12 servings per month, the researchers found. (An average serving was defined as one small chocolate bar or one ounce of chocolate candy.)

To zero in on the chocolate-mood connection, the researchers took into account a range of other dietary factors, such as calorie, fat, and carbohydrate intake. These measures were similar in the depressed and non-depressed people, which suggests that the link between chocolate and depression is unique in some way, according to the researchers.

Health.com: 10 free ways to fight depression

While popular culture usually depicts women as emotional chocoholics, the study shows that men, too, may reach for chocolate when they're down and out. Seventy percent of the participants were men, and the results were similar in men and women.

Explaining the apparent link between chocolate and depression is a classic chicken-or-egg question, says Golomb. Eating chocolate -- which has been shown to improve mood in animal studies -- may be a form of self-medication for depressed people, she and her colleagues suggest, or chocolate may simply be a comfort food.

Health.com: America's healthiest superfoods for women

The link may run in the opposite direction, however. Like alcohol, chocolate may make depressed people feel better in the short term, but eating it regularly may have a negative effect on health and mood in the long run, the researchers say -- especially if the chocolate is in products such as candy bars that are filled with saturated fat and other unhealthy ingredients. Indeed, as Khiry suggests, overindulging in chocolate when you're down can sometimes leave you feeling even worse.

"There is some relation between chocolate and depression," says Scott Bea, a psychologist at the Cleveland Clinic, in Ohio. "Chocolate could be a fix for depression or it could work the other way, meaning that people who overly use chocolate could be prone to depression."

Susan Albers, a psychologist and colleague of Bea's at the Cleveland Clinic, says that chocolate raises levels of the brain chemical serotonin -- as do some antidepressants -- and also boosts blood-sugar levels, which can make you feel more energetic.

Health.com: 15 ways to breathe easier when eating

"Emotional chocolate eaters may be looking for an immediate change that exercise or antidepressants can bring," she says. But, she adds, a chocolate rush is often followed by a crash, and "The crash will make the depression worse."

Albers teaches chocoholics to stop and smell the chocolate -- literally.

"When we eat chocolate, we tend to think about the next piece before we finish the one we are eating," says Albers, the author of 50 Ways to Soothe Yourself Without Food. "I teach people to slow down the process by opening up the chocolate slowly, listening to it crinkle, and slowing down the whole process so they actually taste it and realize that a small amount can make them feel a lot better."

Khiry uses a similar strategy. To keep herself from eating too much chocolate, she sometimes tries to suck on each piece so it lasts longer.

The study had some important limitations, as the researchers note. It was not initially designed to investigate chocolate and mood, and the data was taken from a larger study on the effects of cholesterol-lowering statins. Furthermore, the study didn't distinguish between different types of chocolate (such as dark and milk chocolate, which contain different amounts of cocoa).

Health.com: Foods to boost your mood

And because the study simply took a snapshot of the participants at one moment in time, the results don't show how chocolate consumption and mood may change or interact over time.

Still, Bea says, the findings could serve as a red flag for people who may be drowning their sorrows in Hershey's.

"If you're depressed and eating lots of chocolate, look for more direct solutions such as psychotherapy and/or antidepressants," he says. "If you crave chocolate a lot, examine your mood state and deduce if depression is a factor in your life."


Best of 2009 - Motorcycles of the Year

(From: motorcycle.com)
While we enjoy ripping on substandard motorcycles, crappy bikes are hard to find these days. Take a look at any of our comparison tests from the last couple of years and you'll find only marginal differences between our declared winners and their competitors.

With so much high-quality product to choose from, culling the field down into our Best Of winners was an arduous task. But that didn't stop us from coming up with our favorite stuff from the class of '09! Introducing the first-annual Motorcycle.com Best Of awards. And the MoBo goes to...

Motorcycle of the Year

Triumph Street Triple R

Triumph's Street Triple R is a fantastically versatile sporting package with one of our favorite engines of all time. It's an elemental motorcycle but with major-league performance built in, and its fun-to-ride quotient is sky high, earning our MoBo Motorcycle of the Year for 2009.

Triumph had a good thing going when it unveiled the sweet Street Triple 675, a pared-down streetfighter version of the beloved Daytona 675 sportbike. The Street Triple’s finest feature is its soul-stirring three-cylinder engine that boasts a broad powerband and a symphonic exhaust note. The motor, re-tuned from the Daytona, has a predictable but powerful output that makes it accessible and unintimidating to riders of all skill levels yet is satisfying for even the saltiest veterans. Comfortable ergos – including a reasonably low seat height – and an eminently toss-able nature made it a staff darling, but we were a little disappointed it had some bargain-minded bits to keep the retail figure low.

But like a dream come true, the Street Triple R was introduced just last year, replete with the Daytona’s up-spec fully adjustable suspension and potent radial-mount Nissin brake calipers, alleviating all of our concerns. The result is an invigorating and versatile roadster that stickers for less than $10K. Lofting the front wheel is a snap, and before you know it you’ll be drifting out the back end like an inspired Brit hooligan. And on your favorite twisty back road, its friendly yet potent character is almost unbeatable, proving that no one really needs triple-digit horsepower peaks. Now that Triumph perfected the Street in our eyes, it became the perfect Standard. And it's our favorite motorcycle of 2009.

Related Reading
2009 Triumph Street Triple R Review
2008 Naked Middleweight Comparison

Best Sportbike

Kawasaki ZX-6R

The middleweight class's relatively low buy-in results in the largest amount of sales among sportbikes, so there isn't a segment of motorcycles more keenly contested among manufacturers. Costly (to the OEMs) updates to the 600s arrive every two years in a never-ending quest to one-up their rivals. And it's for these reasons why the ZX-6R is so redoubtable. Kawasaki has built a motor that handily out-guns its 600cc rivals, but just as impressive is a 22-lb lighter machine that handles like a champ, aided by Showa's fabulous new Big Piston Fork. Doubly impressive is that the Ninja took top honors on both the street and track – no mean feat. Triumph's Daytona 675 gives the ZX a run for its money, but among four-cylinder middleweights, the nasty and nimble Ninja stands clearly at the top of this ultra-competitive heap.

The ZX-6R's class-leading motor underpins its track prowess and its usability on the street, combining to deliver the best 600cc sportbike experience of 2009.

Related Reading
2009 Kawasaki ZX-6R Review
2009 Supersport Shootout
2009 Supersport Racetrack Shootout
2009 Kawasaki ZX-6R vs. Triumph Daytona 675

Honorable Mention – Honda CBR1000RR

If you want a literbike that handles like a 600, the lightweight and whippet-quick CBR is for you. It's as light as some 600s but has a burly midrange that out-muscles its 1000cc rivals Already a year old in '09, to win our annual literbike shootout in the face of high-profile new challengers from Yamaha and Suzuki is remarkable.

In the literbike class, the CBR1000RR marries the lightest weight, sharpest steering and most potent midrange punch to create our favorite 1000cc sportbike.

Related Reading
2009 Literbike Shootout
2008 Honda CBR1000RR Review
2008 Literbike Shootout

Best Standard

Ducati Monster 1100

The new M1100 is the best-ever example of Ducati's popular Monster series, combining sexy Italian design with an excellent chassis and lusty, torquey V-Twin grunt that helped make Ducati famous the world over.

The Italians followed up the lively new Monster 696 with this 1100cc version of its revered air-cooled Desmo V-Twin, and it knocked our socks off with its all'-round versatility, rich character and a huge grin factor.

The big Monster has cozy ergos that welcome urbane commuter duties, as a proper standard should, but it also has the capable chassis and grunty power to terrorize repli-racer sportbikes on a twisty road. Low-rev neck-snapping performance combines with neck-snapping Italian good looks. Ducati's mondo Streetfighter model is much more powerful, but the M1100 is at least as much fun and is thousands cheaper.

Related Reading
2009 Ducati Monster 1100 Review
Ducati Monster 1100 vs Harley-Davidson XR1200 Review

Honorable Mention – Harley-Davidson XR1200

The XR1200 will rearrange your perception of Harley-Davidson performance. Here Pete imagines himself taking the checkered flag at the Springfield Mile.

When Harley-Davidson announced in summer 2007 it had created a new model called the XR1200, but that it was a Euro-only unit, everyone here in the States asked why we were left out. Then, after listening to the loyal masses, the Motor Company conceded and made it available for the U.S. as an '09.

Ergonomically the XR1200 strikes a good compromise between aggressive canyon attacker and sensible, upright everyday ride. And the potent Nissin brake calipers are crazy powerful. The flat-tracker look-alike styling is a head-turner, and the reliable 1200cc Sporty Twin has been massaged to yield the most horsepower of any air-cooled mill ever to emerge from H-D. Our only criticism is limited lean angle on the exhaust side impeding super-aggressive cornering, but you have to be the fast guy in your crowd for that to be a concern.

Related Reading
2009 Harley-Davidson Sportster XR1200 Review
Ducati Monster 1100 vs Harley-Davidson XR1200 Review

Best Cruiser

Triumph Thunderbird 1600

It's been cruiser utopia for the last decade or so, with every major manufacturer jumping into the market to piggyback on Harley-Davidson's astounding success for the feet-forward crowd. Harley's iconic 45-degree V-Twin has spawned an endless succession of imitators, many of them excellent in their own right. But we don't think we're alone in seeing this genre as a little bit stale. That's one reason why Triumph's new T-Bird made such an impression on us, as its parallel-Twin (a zero-degree Vee) stands apart in a sea of clones. Its 270-degree firing order supplies the requisite thumpity-thump exhaust note, but both its character and layout are unique. This might be a moot point if the 'Bird wasn't blessed with clean, graceful lines that follow a well-worn formula yet are distinct. And for those of you who like cruising on curvy roads in addition to the straight ones on the way to the cafe, the Trumpet can cut an inside track as tight as anything in its class.

Triumph's Thunderbird twists the cruiser mold by eschewing a V-Twin powerplant in favor of a character-rich parallel-Twin that retains a link with Triumphs of yore. Clean lines penned by an American designer are attractive without being too derivative, and a stout chassis encourages riding on twisty roads instead of avoiding them.

Related Reading
2010 Triumph Thunderbird Review
2010 Triumph Thunderbird Designer

Honorable Mention – Suzuki Boulevard M90

Suzuki's M90 Boulevard combines unique styling, excellent handling and strong braking to create an unbeatable value in the power-cruiser segment.

Combine the look of a more powerful cruiser with comfortable ergos, handling and stability rarely if ever found in cruisers; grace it with a bigger Twin than any other bike in its class, then bring it at a price at or below the competition, and you’ve got yourself undeniable value. This is the exact scenario of Suzuki’s Boulevard M90. Looking a whole lot like its bigger, meaner M109 brother, the M90 gives power-cruiser fans the look they want matched to V-Twin power that surely has Honda, Kawasaki and Yamaha scratching their heads at the M90’s $9,999 tag. In today’s economy, value makes the perfect partner to performance.

Related Reading
2009 Suzuki Boulevard M90 Review
2009 Muscle Cruiser Shootout

Best Touring

BMW R1200RT

When it comes to piling on thousands of miles, we're not sure it's necessary to saddle up on a half-ton luxo-barge. The surprisingly agile RT is packed with comfort yet scales in at an easily managed 570 lbs with its capacious 7.1-gallon tank full of fuel. Prices start below $17K, but we highly recommend getting the optional “Standard Package” ($17,755) that includes such niceties as heated grips, cruise control and a trip computer.

BMW understands the touring/sport-touring market better than any other manufacturer, and the supremely balanced R1200RT is perhaps its best example of the qualities that go into creating a comfortable and capable long-distance touring motorcycle.

Related Reading
2005 BMW R 1200 RT

Honorable Mention – Honda Gold Wing

The Gold Wing is simply an icon in touring motorcycles.

If you want maximum luxury with a bottomless well of power, and you're okay with piloting around a 900-lb two-wheeled convertible, the venerable Honda Gold Wing has an unbeatable combination of comfort and versatile performance. Three excellent V-Twin touring-cruisers have recently been introduced, but they can't do everything as well as the superlative Wing.

Related Reading
2009 Luxury Touring Shootout

Best Sport-Touring

BMW K1300GT

The Honda ST1300, Kawasaki Concours 14 and Yamaha FJR1300 are all terrific mile-munchers, which makes BMW's K1300GT win in our recent sport-touring shootout all the more impressive. True, a princely MSRP is attached to it, but it also has available a plethora of worthy options that are unavailable on its competitors. Combine standard equipment like adjustable seat and windshield with desirable options like cruise control, heated grips and seat, on-the-fly ESA suspension adjustment, Xenon headlamp and traction control, and the K13GT becomes your cross-country best friend. The fact that it has the segment's quickest steering, most powerful motor and excellent brakes only sweetens the deal.

If you're gonna go far and you need to do it fast, BMW's K1300GT is the best choice on the market. A cornucopia of options unavailable on its competitors further expand its allure.

Related Reading
2009 BMW K1300GT Review
2009 Sport-Touring Shootout

Honorable Mention – BMW F800ST

Lightweight sport-touring doesn't get any better than BMW's F800ST, a desirable amalgam of sporting prowess and long-distance capability.

If the sport part of the sport-touring equation involves unraveling the squiggliest parts of a map, the athletic F800ST is hard to beat. Accommodating ergonomics provide comfort during weekday commutes, while a lithe and obedient chassis encourages canyon strafing on Sunday rides. Optional locking luggage and heated grips give you the tools for inter-state touring, aided by decent wind protection, a maintenance- and lash-free belt drive, and torquey parallel-Twin motor supplying ample power. Its excellence became apparent after it won a side-by-side comparison with Honda's silky VFR800 Interceptor.

Related Reading
2008 Middleweight Sport-Touring Shootout

Best On-Off Road

BMW F800GS

“The GS for the rest of us,” was how Pete characterized the F800GS. The implication being that the latest addition to BMW’s renowned GS line of adventure bikes is at least as capable as the big R1200GS was at traversing tough terrain, but in a much more manageable package. The F800GS is closer to a big dual-sport than a Boxer-powered behemoth GS or GS Adventure. The 798cc parallel-Twin provides ample power for just about any situation imaginable for an adventure-touring rider, and its humane seat height and reasonable overall size open the door for many riders who’ve always wanted to tread the Sahara but were put off by the dimensions of the motorcycles that normally dominate the adventure-riding segment.

BMW's GS line has been synonymous with adventure-touring, and the F800GS expands the appeal by providing an ease of use far beyond its more ponderous 1200cc brethren.

Related Reading
2009 BMW F800GS Review

Honorable Mention – Aprilia SXV/RXV 5.5

Forget Prozac. The thrilling SXV 5.5 is our prescription for depression!

Stuffing in a compact V-Twin motor into an aluminum-framed dirtbike-style chassis has created one of the most grin-inducing rides we've ever experienced. With 62 excitable horses at the rear wheel galloping with a sub-300-pound burden, the supermoto SXV (and its RXV dual-sport brother) is an extreme thrill ride – it even won the recent Pike's Peak hillclimb. Its $9,499 MSRP ain't cheap and, as we noted in our test of the 550cc SXV, “It's as pragmatic as Paris Hilton,” but it's ultra-cool, quite exotic and as fun as anything on two wheels. We stand by the closing statement from our review: “If you’re a former or present dirtbike rider with a dominant yee-haa! gene, you can’t find a more exciting street-legal two-wheeler at any price.”

Related Reading
2008 Aprilia SXV 5.5 Review
Aprilia SXV and RXV New Model Introduction

Best Scooter

Piaggio MP3 400/500 i.e.

Fonzie describes the tilting three-wheeler MP3 500 as the Darth Vader of scooters. It's amazing what it can do on a curvy road.

For the uninitiated, the MP3 is Piaggio’s three-wheeled scooter line with two wheels up front. The revolutionary parallelogram front end uses an automobile-like double-wishbone aluminum suspension system supporting two independent steering columns that allows it to lean like a proper motorcycle. The result is a fuel-injected scooter that brings along another contact patch for new-rider safety as well as salty-dog giggles. On the right canyon road, it’s like skiing through the trees, holding your line with your outside foot (wheel) instead of your inside leg’s ski edge. Back and forth is wicked fun, like skiing a giant slalom run. At booger-picking speeds, like when maneuvering in a parking lot, a rider feels the added balancing help of the third wheel. The 400 i.e. is the more economical and practical version, with more underseat storage, but the 500 turns us on for its capability of busting a ton on the speedo and while getting more than 50 mpg.

Related Reading
2008 Piaggio MP3 500 i.e. Review
2008 Piaggio MP3 400 Review

Honorable Mention – Vespa GTS 300

Also from the Piaggio Group is the recent Vespa GTS 300. It includes the curvaceous Italian styling that has made Vespa a legend in the scooter world, plus it's the biggest, fastest, Vespa ever made. New riders would be well advised to go easy on the light-action throttle for the first few rides, as the GTS can whisk you away with a surprising pace in near silence and considerable grace. In Fonzie's upcoming review, he calls it “the invisible hooligan.”

Vespa continues to be the leader in sensual scooter design, and the new GTS 300 adds the kind of strong performance we can get behind.

Best Eccentric

Can-Am Spyder

Although not technically a motorcycle, the well-engineered Can-Am Spyder has expanded open-air motoring to a new audience.

If standing out in a crowd is you’re cup o’ tea, you’re sure to be seen riding aboard the Can-Am Spyder Roadster! Although it can't lean like a motorcycle (or a Piaggio MP3), it’s got some open wheels and puts you in the wind all the same. Basically, it’s a “flipped around” three-wheeler, putting the two-wheeled part of the trike in the front. Packed full of technology as well as eye-catching appeal, the Spyder now comes in three colors and two transmission choices: standard foot-controlled shifting (SM5) or a version that is capable of being shifted by hand (SE5, a sequential electronic 5-speed). BRP has built in a lot of fun as well as safety. The coolest part of this machine is the licensing. When last we checked, if you live in California or Delaware, you don’t even need a motorcycle license to operate one on the open road. Aging and/or handicapped riders who still feel the need for speed and excitement they once received by ripping down the road on two wheels can again feel that old thrill on the Spyder, and it's also proving to be attractive to new and female riders.

Related Reading
2008 Can-Am Spyder Test
2008 Can-Am Spyder Review
2009 Can-Am Spyder SE5 Review

Honorable Mention – Travertson V-REX

Built by the people who turned out the turbine-powered bike made famous by Jay Leno, the futuristic Travertson V-REX garners more attention than any motorcycle we've ever ridden.

In the custom cruiser mien, it's not unusual to throw down $50K or more for something that stands apart from the hordes of other choppers trying to be unique. And yet they are all pretty much just variations on tired themes. But nobody will think that when you pull up on a V-Rex. Looking like a refugee from a sci-fi movie, the Travertson-built monstrosity is unlike anything you've ever seen. The swingarm front suspension is the first thing to blow your mind, but everywhere else your eyes rest will continue the squall on your brain, such as the bespoke cast frame, the single-sided rear suspension and the alien-looking nose. There aren't many $40,000 bikes we are willing to describe as a bargain, but for its incredible traffic-stopping countenance, V-Rex qualifies.

Related Reading
2008 Travertson V-REX Review

Best Value

Kawasaki Ninja 250

Yeah, most of us know that new riders should hone their riding on a lightweight and modestly powerful bike, but no one wants to look like a dweeb while expanding their skill set. The little Ninja avoids the newbie-bike stigma by looking a lot like its more powerful Kawi brothers, appearing sleek and purposeful despite its easy-to-ride nature. Its twin-cylinder 250cc engine won't intimidate newbs yet has enough power to keep up with 80-mph freeway traffic, and its agile demeanor has the capability to embarrass larger machines on the right twisty road. At $4,000, it's a bargain, and you'll get most of that back on resale when it's time to trade up for a bigger bike.

The attractive and capable Ninja 250 forgoes the embarrassment that is accompanied by most budget bikes.

Related Reading
2008 Kawasaki Ninja 250R Review

Honorable Mention – Kawasaki KLR650

Perhaps no other streetbike is as versatile as the well-rounded Kawasaki KLR650, and especially not at its bargain retail price.

Last year saw the renovation of an all-time do-it-all motorcycle. The '08 model KLR put to rest a 20-year-old design but retained its simplicity in function, use and potential for roadside repair. With 50 upgrades in handling, power, comfort and styling, the new KLR is so much more than just minimal increases in horsepower and torque. With an MSRP of just $5,599 and compatible with many of the past 20 years of aftermarket products, you can ride to the equator and back with the money you’ll save over something from BMW. Fonzie knows cause he’s done it!

Related Reading
2008 Kawasaki KLR 650 Review
Kawasaki KLR650 Project Bike: Part 4

Best Exotica

Ducati Desmosedici RR

If you'd like a street-legal MotoGP bike, you're looking at the only game in town.

MotoGP is the pinnacle of two-wheel motorsports, with the best riders in the world piloting the most exotic sportbikes ever seen on earth. So when Ducati unleashed a street-legal version of its 990cc V-Four GP bike, we were as giddy as Casey Stoner after winning his world championship. Our time aboard the GP bike with lights was brief – just part of a day at the racetrack – but it was a scintillating experience we won't soon forget. Blisteringly fast, it blows past regular literbikes like they are 600s. Abrupt throttle response and a race-stiff suspension makes you realize you're not worthy of its stratospheric potential, and its $72.5K price tag will have you thinking twice about shaving off seconds from your lap time. But it's the most exotic and outrageous sportbike we've ever ridden, causing us to consider selling our homes or our mothers to put one in our garage. If we do, we'll make sure to invite fellow D16RR owners Jay Leno, Brad Pitt and Tom Cruise over to the coffee shop to talk about how cool we are.

Related Reading
2008 Ducati Desmosedici RR Review

Yamaha/Star V-Max

Perhaps it seems a bit odd to label a Yamaha-built bike as an exotic, but consider its monstrous 200-horsepower V-Four engine stuffed in an aluminum frame, a ride-by-wire throttle, variable-length throttle intakes, bespoke radial master cylinders and hand-polished aluminum intake scoops. A lofty $17,990 MSRP keeps out the punters, helping to ensure its exotic and rare status. Mountains of power throughout the rev range is like engaging hyper-drive, and tire-smoking corner exits are delivered easier than anything else with two wheels. Yamaha has brought an icon back to life with the new Max, and it's crazier and more capable than ever.

The V-Max isn't a cruiser and it's not a sportbike - it's both, and there's nothing else quite like it. It's an accessible exotic.

Related Reading
2009 Star V-Max Review/Test

Best New Technology

Honda C-ABS

Sportbike pilots usually have no interest in anti-lock brakes, believing they can do a better job of quickly bringing a motorcycle to a stop than a computer. But they probably haven't yet sampled Honda's new Combined ABS as found on the 2009 CBR600RR and CBR1000RR as a $1,000 option. With this new combined system, there is absolutely no mechanical link, or otherwise, between the front and rear. It is entirely up to the electronic control module to determine when more than one brake set is required. Not only does the ECM regulate pressure to each brake set, it also can “combine” front and rear brake sets based upon established parameters, and it does it seamlessly. We now have the first brake-by-wire system available commercially on sportbikes. Innovative!

Honda's new C-ABS has allayed our concerns about anti-lock brakes on a sportbike. You might not even notice it's there until it saves your bacon when you least expect it.

Related Reading
2009 Honda CBR600RR C-ABS Review

Honorable Mention – Ducati Traction Control

Traction control is available on the 1198S and Streetfighter. It will one day become ubiquitous among all manufacturers.

While other more conservative manufacturers have been reluctant to fit a form of traction control to their sportbikes for fear of liability concerns, Ducati has forged ahead and delivered what will surely become commonplace in the future. When DTC detects the rear wheel is spinning faster than the front, the computer first retards the ignition then will cut fuel if wheelspin continues. The multi-level DTC is rider-adjustable from scaredy-cat invasive to pro-racer-boy hands off, providing a new level of security currently unavailable from any other OEM.

Related Reading
2009 Ducati Streetfighter Review
2009 Ducati 1198S Review

Best New Product

GoPro Hero

A small, simple and affordable way to capture your two-wheel exploits.

GoPro Industries has revolutionized the homegrown on-board YouTube video industry as well as Motorcycle.com’s own story and video quality with its Hero video camera, and it got even better this year with the addition of a wide-angle lens unit that rounds out Fonzie’s bag of tricks. Its diminutive design and versatile mounts result in a camera that will go where no human can go – dangling from footpegs, stashed under subframes or taped to Kevin’s kneepuck. The GoPro Hero camera can make everyone look like a star.



Honorable Mention – HJC IS-Max

An excellent combo of comfort, versatility and value.

With changing times come changing weather, so why not ride with gear that can adapt? Now that the age of looking goofy in modular helmets is waning, and we're getting used to seeing fighter pilot sunshades on motorcyclists everywhere, HJC brings us the IS-Max flip helmet. It's not only comfortable and reasonably priced, it is full of bells and whistles like high-flowing vents, an integrated sun shield, clean styling and well-balanced in the 'up' position. Its MSRP starts at just $199 for solid colors, while radical wine colors retail for a bit more. So stylish is the helmet that Harley-Davidson has adopted it into its accessory line to serve their image-conscious buyers. Subtly branded with the bar-and-shield logo and H-D name, the IS-Max only comes in black when bought from Harley for a $325 MSRP.


Best Event

U.S. Grand Prix at Laguna Seca

The USGP is the event we most look forward to each year. Not only is it our chance to see the world's best motorcycle racers up close and personal, it's held in one of the best motorcycle race circuits in the world. Adding to this irresistible allure is the opportunity to string together some of the best roads California has to offer.

The USGP at Laguna Seca has an unbeatable atmosphere of the finest motorcycles and riders, top-quality vendors and exciting race action - all surrounded by some of the best roads in America.

Related Reading
2009 Red Bull USGP at Mazda Raceway Laguna Seca

Honorable Mention – AMA Vintage Motorcycle Days

Taking the reigns once again, the American Motorcycle Association has pumped new energy in to the annual Mid-Ohio event with Grand National titling in both on- and off-road racing and supplied the 20,000 attendees with the world’s largest swap meet. Despite this year's rainfall, the event sparked many imaginations and memories with the relived glory and hundreds of classic bikes on display and for sale.

Vintage Motorcycle Days reminds us where our sport and hobby came from. It's a motorcycle dream world seen through a rear-view mirror.

จดทะเบียน bigbike ทำอย่างไรค่ะ

(จาก: Pantip)
1.ต้องยื่นเรื่องเสียภาษีสรรพสามิตได้ที่ว่าการอำเภอ ทุกแห่ง หรือยื่นที่กรมสรรพสามิต กรุงเทพฯ ซึ่งจะมีความเชี่ยวชาญมากกว่า โดยสรรพสามิตจะได้พิจารณค่าธรรมเนียมตามระเบียบหลักเ กณฑ์ที่กำหนด พิจารณาจาก รุ่น ยี่ห้อ ชนิดรถ ราคากลาง ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้

2.หลัง จากเสร็จเรื่องจากสรรพสามิตเรียบร้อยแล้ว ก็ให้นำรถที่ประกอบเองนั้นไปที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ที่กรุงเทพฯ นะครับ เพื่อยื่นเรื่องขอตรวจสภาพ โดย สมอ.จะส่งให้สถานที่ตรวจของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีอยู่ 2 ที่ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปู จว.สมุทรปราการ และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จว.ชลบุรี
การ ดำเนินการเจ้าของก็ต้องยื่นเรื่องคำขอต่อ สมอ. ซึ่งจะพิจารณาตามลำดับในการส่งตรวจ และรอรับผลการตรวจสอบจากหน่วยงานทั้ง 2 แห่ง ว่าผ่านการตรวจหรือไม่ผ่านการตรวจ โดยมีค่าธรรมเนียมการตรวจเริ่มต้นที่ 27,000 บาท (ชำระก่อนนำรถไปตรวจสภาพนะครับ)

3.ระหว่างนั้นก็ให้ผู้มีใบรับรอง วิศวกรรมเครื่องกล ทั้งจากหน่วยงานราชการหรือเอกชน หรือตามวิทยาลัยเทคนิคก็ได้ รับรองความมั่นคง แข็งแรงในการประกอบ เพื่อออกเอกสารนำประกอบการพิจารณา

4.เมื่อได้ดำเนินการทั้ง 3 ขั้นตอนเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็รวบรวมเอกสารดังกล่าวยื่นจดทะเบียนต่อขนส่งจังหวัด นั้นๆที่ขอจดทะเบียน หากเอกสารถูกต้องก็จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์

ปล.ถ้าเป็นตัว พันซีซีขึ้นไป ก็มีราคาแยกระหว่างรถฟูลแฟริ่งกับไม่ฟูลแฟริ่งอีก เริ่มต้นไม่น้อยกว่า 50,000 ขึ้นไปถึง90,000 สำหรับรถที่เอกสารครบพร้อมจดทะเบียน ขั้นตอนวุ่นวายครับ แต่รถตัวพันปีใหม่ๆจะดูจดแล้วคุ้มกว่ารถ ซีซีน้อยกว่า 400

อืม..ดูใช่เงินแยะจังแฮะ 50000-90000 ซื้อได้อีกคันเลยนะนั้น

มีคนบอกเราว่า ที่ผ่าน สมอ. ยาก และก็ภาษีขูดเลือด เพราะเค้ากลัวว่า รถศูนย์จะขายไม่ออก ค่ายรถเลยใช้กำลังภายในขั้นเทพ ในการกดดันรัฐ เพื่อไม่ให้การประกอบและจำหน่ายรถแบบถูกกฏหมายได้ง่ายๆ แต่..

ก็ มีคนที่สามารถผ่าน สมอ. ได้เหมือนกัน ซึ่งเราก็อยากรู้ว่าเค้าทำไงกัน ก็รู้แหละว่าคงมีนอกมีใน อะไรเยอะแยะ แต่ทาง สมอ. ก็คงมีหลักเกณฑ์พอควรในการตรวจ แล้วหลักเกณฑ์นั่นคืออะไร ท่านใดเคยมีประสบการณ์ ช่วยบอกด้วยนะคะ

เราไม่อยากให้การทำผิดกฏหมาย เป็นเรื่องง่ายกว่าการทำให้ถูกต้องเลย ทั้งที่ชีวิตจริงมันเป็นแบบนั้น เฮ้อ...สบายใจไทยแลนด์จริงๆ

^
^
^
ว่าด้วยรถคาร์บู ทำได้สิครับ เงินอย่างเดียว ถ้ามีเงินจ่าย ราคาสูงเอาการอยู่ อย่างที่ คห.3 ว่าไว้ งานนี้ นายหน้า คนวงในอย่างเดียวเลย แต่จะคุ้มหรือไม่อันนี้อีกเรื่องนึง
แต่เขาเอารถคุณไปตรวจด้วยนะครับ อาจจะเอาไปปรับแต่งอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ วงในเขารู้กันเอง เพื่อให้ตรวจผ่าน
ถ้ารักรถ อาจต้องยอมจ่าย เพื่อสามารถจดทะเบียนแท้ เอามาขี่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ฝัน ไว้อยากทำให้เหมือนร้าน 59bike ก็ทำได้ครับ แต่มีข้อแม้ว่า รถที่ทำขาย ต้องเป็นรถใหม่ ๆ ปี 2000 ขึ้น เหมือนร้านเขานะ ถึงจะทำได้ แต่ก็ต้องรู้จักนายหน้าติดต่อด้วย เส้นสายต้องเยอะพอสมควร
แต่ถ้าเข้าที่แล้ว ก็ไม่มีอะไรมาก สบาย ๆ
ถ้าเป็นรถเก่า ก็คงยุ่งยากมากหน่อย เหนื่อยครับ เหนื่อย

จริงๆแล้วถ้าทำเล็กๆแล้วรายได้ดี ก็ทำอย่างนั้นไปก่อนดีกว่าครับ ทำให้สะอาดดูดีขึ้นก็พอ แต่ถ้าจะเอาแบบ 59 bike อาจจะเหนื่อยมากๆ แล้วนาทีนี้ไม่รุ้จะคุ้มรึเปล่าด้วยครับ เพราะ แต่ละค่ายก็มีโชว์รูมบิ๊กไบค์แล้ว ยิ่งถ้าเกิดปีหน้า มี jaffa ( ไม่รู้เขียนถูกป่าวนะครับไม่แน่ใจ ) นำเข้าจากญี่ปุ่นไม่เสียภาษีอีก งานนี้ผมว่า การค้าขายเมืองไทยอาจจะมีเปลี่ยนแปลงบ้างล่ะ ไม่มากก็น้อย

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่แนะให้ทำถึงขนาดนั้นครับ เพราะมันเหนื่อยครับ อีกอย่างคุณต้องรู้จักคนใน และก็คุณต้องเป็นคนที่กว้างขวางพอสมควร เพราะของพวกนี้ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเอารถไปจดก็จดกันง่าย ๆ บางทีกว่าจะผ่านก็หมดไปเยอะอ่ะครับกว่าจะได้ทะเบียน หลายท่านเลยเลือกที่จะขับแบบ INV กันต่อไป อย่างน้อยโดนจับก็ยังไม่ถูกยึดถ้าทุกอย่างถูกต้องน่ะ

แล้วอีกอย่างของพวกนี้เขามีพวกคนใหญ่คนโตของค่ายร้านต่าง ๆ หนุนหลังอยู่ครับ คงไม่ยอมให้จดกันง่าย ๆ หรอก เพราะถ้าจดกันง่าย ๆ ป่านนี้ก็คงเอาไปจดกันหมดแล้วอ่ะครับ

เอาแค่คร่าว ๆ ล่ะกันครับ ส่วนเรื่องรายละเอียดนี่คงต้องถามคนในดูอีกทีอ่ะครับ
ส่วนเรื่องมาตรฐานยูโร 3 ตามรูปเลยครับ

Saturday, May 15, 2010

ขี่bigbikeให้สนุกและปลอดภัย

การขับขี่ให้สนุกและปลอดภัยปลอดภัย

บทที่1


ความหมาย ตรงๆก็น่าจะแบบว่า " เสียค่าโง่ซื้อมาแล้ว ก็คงต้องเรียนรู้ และ สนุกสนานกับมัน ใครจะว่าไงก็ช่าง ทำนองนั้น "
อันนี้เป็นบทความเสนอแนะ เป็นการส่วนตัวของผู้เขียน ที่ไม่มิบังอาจไปชี้แนะ เพียงแต่เป็นทัศนคติส่วนตัว ประสพการ์ณที่ได้สั่งสมมาด้วยตัวเอง คงมีประโยชน์บ้างสำหรับ มือใหม่ ขออภัยนะครับ บางอย่างอาจไม่ตรงกับใจผู้อื่น
เริ่มตั้งแต่จะซื้อรถเลยแล้ว กัน
เมื่อมีความชอบส่วนตัว หรือว่า จะเพื่อนยุยงก็แล้วแต่ มาเริ่มเลย

1. ดูงบของตัวเองก่อน แคะกระปุกมาแล้วมีทั้งหมดเท่าไหร่ ให้เผื่อเหลือไว้ด้วยนิดหน่อย สำหรับปรับปรุง-อุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ
2. ถามตัวเองก่อนว่าชอบรถ สไตล์ไหน มีให้เลือกเพียบ Sport racing , Sport touring ,chopper , motard สารพัดที่จะเรียก
3. อย่างแรกคือคนซื้อรถ ก็จะเหมือนกับมองผู้หญิง คือเอาภายนอก รูปทรง สีสรร ก่อน มองแล้วโดนเต็มๆ
4. อันนี้สำคัญ เมื่องบกับรุ่นรถมาเจอกัน ก็จะได้ ข้อสรุป ว่ารถรุ่นไหนอยู่ในงบของตัวเอง แต่ก็จะจำกัดวงเข้ามาอีกว่า รถรุ่นที่เราชอบเนี้ย เป็นรถตลาดรึเปล่าว ตลาด ความหมายคือ รถมีเยอะ อะไหล่มือ2 ก็ต้องเยอะไปด้วย เมื่อเยอะก็ไม่แพงและหาง่าย ใช้ไปซักพัก อยากขายก็ง่าย ทำนองนี้ แต่ถ้าไม่ใช้รถตลาด คือ รุ่นนี้มีน้อยหละก็ มือใหม่ ถ้าไม่ รวย หรือพ่อรวย จริง อย่าดีกว่าครับ เสี่ยงเกินไป
5. คนขาย / ร้านขาย เราคนซื้อ ต้องใช้ความรอบคอบในการเลือกซื้อ อย่ามักง่ายเห็นแค่ความสวยงามภายนอก ก่อนเข้าไปถาม ควรหาข้อมูลรุ่นรถที่ต้องการให้กับตัวเองก่อนให้มากที่สุด จะได้ไม่โดนเค๊าหลอก หรือ อย่างน้อย พาเพื่อนที่พอมีความรู้เข้าไปด้วยกัน ช่วยกันดู ใครจะว่าเราเรื่องมากก็ช่างมัน เพราะเงินหายาก
6. เมื่อสรุปหลายๆประเด็นได้ตามที่ต้องการแล้ว อย่างนึงคือ ต้องถามคนขายให้แน่นอนว่า ทะเบียนรถเป็นไง ไม่อยากบอกเลยอันนี้ แต่คงต้องบอกนะ คือวงการนี้รถมันเป็นอะไหล่มาจากญี่ปุ่น ถอดมาเป็นชิ้นๆแล้วเอาเข้ามาประกอบ( เลี่ยงภาษี ) คราวนี้เมื่อประกอบแล้วก็แจ้งทำทะเบียน เมื่อก่อน (7-10ปีมาแล้ว หรือมากกว่านั้น ) ไม่ใช่เรื่องยาก ร้านนำเข้า-ประกอบเยอะแยะไปหมด รวยกันก็เยอะ กรณีนี้เรียก " ทะเบียนแท้ " แต่มาปัจจุบัน รัฐบาลจำได้ว่าตั้งแต่สมัย ชาติชาย เป็นนายก เริ่มห้ามจดทะเบียน เพราะใช้มาตราฐานไอเสีย อะไรทำนองนั้น มาบีบ แล้วคงจะรวมถึงค่ายรถมอไซด์ต่างๆในบ้านเราด้วย เพราะช่วงนั้นรถใหญ่ขายดีมาก เพราะราคาไปใกล้เคียงกับรถที่ผลิตในบ้านเรา150cc. คิดดูสิ สวยกว่า เร็วกว่า แรงกว่า เผลอๆถูกกว่าอีกต่างหาก พอห้ามจด แต่รถใหม่ยังมีเข้ามา ก้เลยต้องเอาทะเบียนรถคันเก่าที่พังไปแล้วมาสวมทับเป็นคันใหม่ แจ้งเปลี่ยนเครื่อง-เฟรม ก็ยังเป็นรถที่ถูกต้องแต่ไม่ 100% เอ้า....ถ้ายังโอนได้ก็ไม่เป็นไร แต่ยังมีอีกประเภทนึงคือ สวมแบบคนละรุ่น หรือcc. กันเลย จะมีแบบดีหน่อย คือ แก้ข้อมูลในเล่มซึ่งยากมาก แต่จะกลายเป็นเล่มแท้ ( กรณีนี้ต้องใช้กำลังภายใน เส้นสายมาก ) กับอย่างสุดท้าย คือ ลบเลขเครื่อง-เฟรมของตัวรถแล้ว ตอกเลขใหม่เข้าไปเลย อันนี้อันตราย คือ ปัจจุบัน ราชการเข้มงวดมากขึ้น ห้ามเอาไปตรวจเองที่ขนส่ง เพราะจะยึดรถเลยทันที ( ทะเบียนตอก )
ที่อธิบายมายืดยาวเพราะว่า อยากจะเตือน มือใหม่ ว่า ก่อนตกลงซื้อ-ขาย ให้ถามคนขายก่อนว่า ทะเบียนแท้รึเปล่าว ถ้าไม่แท้( ยอมรับได้) ถ้าอนาคตเราจะขายโอนได้มั๊ย ถามให้แน่นอนจะได้ไม่ทะเลาะกันทีหลัง แล้วถ้าคนขายมีจรรยาบรรณ ควรบอกให้คนที่จะซื้อทราบด้วย อันนี้เสนอแนะไว้ให้มือใหม่ระวังตัวเอง แต่ถ้ายอมรับได้ก็จบไป
แต่สำหรับ คนที่มีเงินเยอะแล้วซื้อแบบจดใหม่ไปเลยก็ตัดปัญหาพวกนี้ไปเลย ค่าจดทะเบียนใหม่แบบถูกต้องประมาณ65,000 - 75,000 บาท
สำคัญ สำคัญ.....คนที่มือใหม่จริงๆยังขีรถไม่คล่องเลย แต่มีเงินเหลือเฝือ อยากได้รถรุ่นใหม่ๆแพงๆ ไม่มีใครว่าหรอกครับ อันนี้เสนอแนะนะ อย่างน้อยผมว่าควรจะขี่คันที่มันเล็กๆลงมาหน่อย เอ้า...400cc. ก็ได้ แนะนำHonda Super4 400cc. Yamaha XJR400 หรืออะไรที่เป็นรถประเภทเดียวกัน ที่แนะนำรุ่นนี้เพราะเป็นรถตลาด เป็นรถแบบมีแฮนด์บาร์ ท่านั้งไม่ก้มมาก เราเอามาหัดก่อนได้ ขี่แรกๆคงมีจอดล้มบ้าง ขี่ล้มเองบ้าง เป็นธรรมดา อย่างนึงเราจะได้หัดการใช้เบรค คันเร่ง การเชนเกียร์ การคอนโทรลรถในย่านความเร็วหลายๆแบบ และอีกอย่างคือน้ำหนักตัวไม่มาก ความเร็วไม่สูงมากนัก เอาพวกนี้ให้คล่องก่อนแล้ว ขายไปซื้อคันใหญ่กว่านี้ก็ได้ จริงๆแล้วบ้านเรายังล้าหลังอยู่มากนะ ใบขับขี่มอไซด์ใบเดียว ขี่ได้ทุกcc. ถ้าเป็นต่างประเทศ เค๊าจะแยกเลย ตองสอบวัดความสามารถในการคุมรถแต่ละcc. อย่างนึงที่สนับสนุนคือ อย่างน้อยไม่ใช่ว่าขี่มอไซด์เป็น ก็ขี่มันใหญ่ๆ แรงๆเลย แล้วผลเป็นไง ผมว่า ความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ คุณยังไม่คล่องเลย เพิ่งจะหัด แต่ไปหัดตัว แรงซะแล้ว พิการหรือตายก็เยอะ เอาเป็นว่าเป็นห่วงถ้าจะเรียนลัด ก็ควรมีอาจาร์ยดีๆคอยแนะนำหน่อย ก็แล้วกัน...........
7. เฮๆๆๆๆ ได้รถมาแล้วสมใจปอง บทต่อไปก็จะว่ากันถึงการบำรุงรักษาก่อนจะขี่ครั้งแรก

การ บำรุงรักษาก่อนการขี่ครั้งแรก First Ride
มาว่ากันต่อ คราวนี้เราได้รถมาแล้ว อย่างแรกที่ต้องจัดการคือ กรณีที่เป็นรถมือ2
1. ถ่ายน้ำมันเครื่อง และ กรองน้ำมันเครื่อง
( แนะนำให้เปลี่ยนนะครับ เพราะเราไม่รู้ว่าใช้งานมานานแค่ไหนแล้ว นอกจากว่าเจ้าของเดิมจะบอกว่าเพิ่งถ่ายมา ถามยี่ห้อด้วยนะ )
2. ฟิวส์ต่างๆในรถ ควรเปลี่ยนนะ อย่างแรกคือได้ความสะบายใจว่า เราได้ใส่ของใหม่ไปแล้ว
3. อีกอย่างนึง ควรถามเจ้าของเก่าว่า พวกน้ำมันเบรค น้ำมันคลัช น้ำมันโชคหน้า เคยทำอะไรมาบ้างรึเปล่าว ถ้าไม่เคย ให้เปลี่ยนเลย เพราะพวกนี้มีอายุการใช้งาน , พวกสายเบรค - สายคลัช ให้หล่อลื่นสายซะหน่อยนึง ค่อยๆใช้น้ำมันหยอดลงไปที่ละนิดๆ จะได้ลื่นๆ ไม่ขาดกลางทาง
4. พวกหลอดไฟหน้า-หลัง ถ้าเปลี่ยนได้ เปลี่ยนซะ
5. อันนี้ สำคัญนะครับ ผ้าเบรค ปั้มเบรคบนล่าง ควรถอดมาดูซะหน่อย อาจสกปรกมากก็ได้ ถ้าล้างซะจะได้ มั่นใจเต็ม100
6. สำคัญไม่แพ้กันคือ ยางหน้า-หลัง ให้สังเกตุที่เนื้อยาง อย่าไปดูที่ดอก เพราะบางทีดอกเต็มเลย สึกน้อยมาก สวยๆ แต่เนื่อยางหมดสภาพแล้ว แข็งโป๊ก อันนี้ใช้ไม่ๆได้ ยางที่ดีหรือสภาพพอใช้หน่อยต้องพอนิ่มบ้าง จิกแล้วเป็นรอย คือมันจะได้เกาะถนน ถ้าไม่ดีต้องหาเปลี่ยน จะมือ2 หรือใหม่ก็ได้ เลือกดีๆ ถ้ายางดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ขี่มั่นใจกว่ามาก
เอาหละ การขับขี่ปลอดภัย ภาคแรก ก็คงจบแบบคราวๆ รายละเอียดคงมีจุกจิกอีกบ้าง แต่คงอาจลืมหรือไม่เอยถึง เอาเป็นว่าตอนนี้คุณก็ได้ข้อมูลไปแบบ เพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังแล้ว แต่ถ้าในกรณีที่คุณได้รถมาแล้วแบบ สภาพไม่ค่อยดี ก็อย่าไปท้อ เลิกเล่นไปซะก่อน ค่อยทำ เก็บงานไป เดี๋ยวก็ใช้งานได้ดีเอง แล้วก็ขออภัยด้วย บทความนี้เป็นบดความที่คิดเอง เขียนเอง บางอย่างอาจไม่ถูกก็ได้ ฉะนั้นก็ขออภัยด้วยนะครับถ้าบกพร่อง คิดว่าเป็นเจตนาดีของคนที่เคยผ่าน ช่วงที่เล่นรถใหม่ๆมาแล้ว เลยเอามาบอกกันเท่านั้นเอง

บทที่ 2
มาเริ่มภาค2กันเลย ถ้ายังไม่เบื่อมาคุยกันต่อ
เราว่ากันมาถึงตอนที่ซื้อรถมาแล้ว บำรุงรักษาแบบเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว คราวนี้มาถึงขั้นตอนที่ จะเอามาใช้งานจริงๆบนถนนหละ อย่างแรกเลย

เริ่ม การใช้งาน ( ก่อนการใช้งาน ให้ทำจนเคยเป็นนิสัยไปเลย )
1. วนรอบรถซัก 1รอบ ดูคร่าวๆ กดยางหน้า-หลัง ดูสิ อ่อนมั๊ย โซ่หย่อนรึเปล่าว มีอะไรผิดปรกติรึเปล่าว
2. ก้มลงดูระดับน้ำมันเครื่อง ( ให้อยู่ในขีดปรกติ ถ้า พร่องก็เติมซะ )
3. ให้สตาร์ท วอร์มเครื่องก่อนซักแป๊บ ซัก1-2 นาที ปล่อยเดินเบาไปเรื่อย ไม่ต้องไปเร่งเครื่อง
4. ระหว่างที่เดินเบาอยูนั้นก็ ลองกำเบรคหน้า -หลัง ไฟหน้า-หลัง ติดรึเปล่าว
เอาหละ คราวนี้ก็พร้อมเดินทางแล้ว
เซฟตี้ ให้ตัวเอง ( เครื่องแต่งกาย )
เมื่อเรื่องรถเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องของตัวเองบาง เครื่องแต่งกาย ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า พวกbigbike เนี้ย...มันเป็นงานอดิเรก เป็นของเล่นชนิดนึง บางทีฝรั่งเรียกว่า big boy toy คือเป็นของเล่นของพวกผู้ใหญ่ แต่ของเล่นชนิดนี้อันตรายนะครับ ต้องเรียนรู้และไม่ประมาท มีสติที่จะใช้งาน รถที่ใช้งานทุกรุ่น ไม่จำกัดหรอกครับว่าจะเป็นรถประเภทไหน พวกนี้น้ำหนักค่อนข้างเยอะ ความเร็วสูง แต่ก็มีความปลอดภัยสูงเช่นกัน คือ ระบบเบรค หรือ เอนจิ้นเบรคดีกว่า การคอนโทรครถดีกว่า ก็คงอย่างที่ชาวบ้านเค๊าเรียกกันคือ " เนื้อหุ้มเหล็ก " ไม่เหมือนรถยนต์ที่เป็น เหล็กหุ้มเนื้อ " เรารักที่จะใช้งานหรือเล่นแล้ว ก็ต้องเซฟตัวเอง ไม่ประมาท เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อไหร่ ฉะนั้นต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน "
1. หมวกกันน็อค สำคัญอันดับ1เลย ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงเอาไว้กันสมองไหล แต่เดี๋ยวนี้ ทุกคนที่ขี่ต้องมี ยิ่งเป็นSuper bike คุณต้องให้ความสำคัญมากๆ มาแยกประเภทกันเลย
1.1 แบบเต็มใบ แบบคลุมยื่นมาจนถึงคางเลย
1.2 แบบค่อนใบ คลุมมาทั้งหัวแต่เปิดที่คาง
1.3 แบบครึ่งใบ คลุมแค่ครึ่งศรีษะ ประมาณใบหู
หมวกทั้ง3แบบ แบบที่เซฟที่สุดคือ แบบแรก เต็มใบ อันนี้คลุมศรีษะทั้งหมดเลย ส่วนอีก 2แบบ ก็ปลอดภัยลดหลั่นกันมา แยกตามประเภทการใช้งาน ถ้าแค่จ่ายกับข้าวในซอย ก็คงใช้แค่ครึ่งใบหรือค่อนใบ
เสริม.... แนะนำนะครับ ไหนๆคุณก็วื้อรถคันละหลายๆหมื่น หรือแสนมาแล้ว อย่าประหยัดแค่ราคาหมวกเลยครับ รถซ่อมได้ แต่คนซ่อมไม่ได้นะ ถ้ารักตัวเองและคนที่รักคุณข้างหลัง หาซื้อดีๆซักใบเถอะ ไอ้หมวกใบละ900-1,000 บาท ที่ผลิตขายในบ้านเราหนะ ต่อให้ผ่าน มอก. ด้วย มันใช้ไม่ได้ครับ อย่างแรกคือวัสดุที่ผลิต
ยกตัวอย่าง INDEX -SAFETY MET SHOEI -ARAI -SHARK ฯลฯ
โครงหมวก พลาสติค ไฟเบอร์ - คาร์บอน
โฟมรับแรงกระแทก หนาแน่น น้อย หนาแน่นสูง
ผ้า บุภายใน - -
ชิลด์ /แผ่นใส พลาสติก แตกได้ เป็นพลาสติคลามิ เนท บิดได้ ไม่แตก
สายรัดคาง หลุดได้ ไม่หลุด (จดสิทธิบัตร - ลิขสิทธิ์ )

ไม่ได้ เจตตนาเอายี่ห้ออื่นมาวิจารณ์หรอกนะครับ ของที่ผลิตในบ้านเรายังมีคุณภาพไม่ ถึง ถ้าคุณแค่ใช่รถเล็ก100-150cc. ในบ้านเรา ก็พอใช้ครับ แล้วก็สวยงามเหมือนของนอกเลยตอนนี้ ถูกเงินด้วย ผมว่าจริงๆแล้วถ้าเค๊าจะผลิตให้มันดีกว่านี้ก็คงได้ แต่ใครจะไปซื้อหละครับ ตอนนี้ในบ้านเราเส่วนมาก ก็ใส่เพราะกลัวโดน ตำรวจ จับเท่านั้นหละ ไอ้ที่กลัวตายจริงๆคงน้อย แต่สำหรับพวกเราที่เล่นคันใหญ่ๆเนี้ย รถมันแรงกว่า เร็วกว่า คุณก็ต้องเอาหมวกที่มันคุณภาพดีกว่าเป็นธรรมดา อันนี้เป็นประสพการ์ณของตัวเองนะครับ เคยไป ชนกับรถยนต์มา เรามาทางตรง( ในซอย ) แล้วคราวนี้ในซอยมันมีซอยแยกย่อยเยอะ เราก็วิ่งขึ้นสะพานมา พอลงสะพานมาก็เจอรถจอดอยู่กลางถนนเลย( ตีนสะพาน ) เค๊ากำลังรอเพื่อข้ามไปเลนตรงข้าม ไม่ได้เบรคเลย ชนเข้าไปกลางคันรถเลย ยังดีที่สไลด์ล้มก่อน (คงเป็นแบบเฉียบพลัน....) ลอดเข้าไปใต้ท้องรถเลย ทั้งคนทั้งรถ คู่กรณีเป็น 4WD ผลคือสลบคาที่ ไปตื่นอีกทีที่ โรงพยาบาล ยังดีใส่เสื้อหนัง หมวกกันน็อค ถุงมือ ครบ หมวกที่ใส่ SHOEI X8 มาดูสภาพกัน....ปรากฎว่าช่วงตรงกันคางด้านข้างฉีกเลย นี่ขนาดเป็นไฟเบอร์นะ ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าเป็นINDEX - SAFETYMET คงกรามยุบเป็นแถบเพราะเป็นพลาสติค โชคดีไป
อีกตัวอย่างนึง เพื่อนกัน ขี่รถออกจากบ้านไปชนแถวเกษตร มีหมวกดีๆนะ แต่เสียดายกลัวมันเก่า เอาไว้ออกทริปอย่างเดียว ส่วนใหญ่ในกรุงเทพ ใช้หมวกบ้านเรา สวยๆ วันนั้นไปชนซะ กระเด็นข้ามรถยนต์เลย หัวกระแทกพื้นหมวกหลุดออกจากตัว คุณเชื่อมั๊ย อยู่โรงพยาบาลมา2-3วันแล้ว ยังพูดวนไปวนมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น ผมกำลังจะไปไหน แล้วผมมาอยู่โรงพยาบาลได้ไง แล้วคุณปุ้มพาผมมาได้ไง ....ทำนองนี้ พูดอย่างนี้ทั้งวันเป็น 100 รอบ จำอะไรไม่ได้เลย กว่าจะทุกเลาก็เป็นเดือน หลังจากนั้นก็มานึกเสียดายว่า วันนั้นน่าจะใส่หมวกใบดีหน่อยไป แค่หมวกพัง แต่โดนค่ารักษาไปเกินครึ่งแสน เฮ้อ......ฉะนั้น ซื้อเถอะครับ มือ2 ก็ได้ เลือกที่มันสภาพดีๆหน่อย วิธีเลือกซื้อผมจะบอกทีหลัง
2. ถุงมือ จำเป็นต้องใส่นะครับ ถ้าในเมืองใช้แบบผ้า(วิบาก )ได้เพราะถ่ายเทอากาศดีกว่า แต่ถ้า ตจว.ขอให้อย่างน้อยต้องมีส่วนกันกระแทกและฝ่ามือเป็นหนัง ปัจจุบัน มีการใช้วัสดุจำพวกคาร์บอนมาเสริมความแข็งแรง ซึ่งก็ดีกว่าก่อนมาก แข็งแรงกว่า สวยกว่า
3. รองเท้า อย่างน้อยขอเป็นรองเท้าผ้าใบนะครับ หรือถ้าออกทริปก็เป็นหนังไปเลย ลักษณะ บูทยาว อันนี้ก็ขอเถอะ เห็นใครแล้วถ้าไม่กลัวเค๊าโกรธนะจะว่าเลย เห็นชอบใส่รองเท้าแตะ ขี่กัน เฮ้อ...ไม่กลัวนิ้วหายกันเลย แล้วอีกอย่างคือ เวลาเข็นมันลื่นนะ ล้มกันกันมาก ก็เพราะรองเท้าแตะนี่เยอะ แต่ไม่บอกกัน มันอายหนะ
4. กางเกง เป็นกางเกงยีนส์ขายาวก็ โอเคแล้วหละ ใครจะฮิทฮอปก็ไม่ว่ากันหละ แต่ถ้าโดนท่อไอเสียแล้วจะหนาว...
5. เสื้อ มาถึงอันนี้ต้องไว้อันสุดท้าย อย่างน้อยขอเสื้อยีนส์หรือเจ็กเก็ตจะดีมาก แต่ถ้าให้ดีเอาแบบป้องกันได้หน่อย คือแบบ มีการ์ดอย่างน้อยเจ็บหนักจะได้เป็นเบาหน่อย มีกันศอก ไหล่ หลัง ของนอกก็มีหลากหลายยี่ห้อ หรือจะเอาของ118ก็ได้555...

บทที่ 3
มาถึงภาค3แล้ว มีสาระบ้าง ไม่มีบ้างก็ต้องขออภัย ภาคนี้จะกล่าวถึงการการปฎิบัติ คราวๆ หรือมารยาท การใช้รถในชีวิตจริง และการออกทริปท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ คือมากกว่า2คนขึ้นไป

ออก ทริป
เริ่มแรก มาว่ากันถึงขณะขับขี่กันเลยนะครับ
1. การ เลี้ยวซ้าย - ขวา ต้องให้สัญญานไฟเลี้ยวทุกครั้ง ( อาจเป็นสัญญานมือก็ได้ )
2. ระยะห่างจากรถคันหน้า ให้เว้นว่างอย่างน้อย1คันรถหรือมากกว่านั้นและต้องสลับฟันปลากัน คือวางตำแหน่งให้เหลื่อมๆกัน ที่ต้องบอกอย่างนี้เพราะ อาจเกิดอุบัติเหตุได้ถ้าไม่ขี่ใกล้กันเกินไป คันหน้าเบรคกระทันหัน คันหลังเบรคไม่ทัน จิ้มกันซะ
- การขับขี่บนทางเขา ให้เว้นระยะมากกว่าปรกติ แล้วห้ามแซงหากเป็นโค้งลับตา( มองไม่เห็นทางออก ) หากจะแซงคันหน้าให้กะระยะและเดินคันเร่งแรงพอที่จะแซงโดยไม่ปาดเข้าไปใกล้ มากจนเกินไป จนอาจทำให้คันที่ถูกแซง ตกใจจนเสียอาการได้
3. ทางเขาที่ชันมากๆ ให้ใช้เกียร์ต่ำ เชนสลับไปกับการเบรค อย่าใช้เบรคอย่างเดียว เพราะเบรคจะร้อนเกินไปจนมีอาการที่เรียกว่าเบรคหาย วิธีแก้คือ ต้องจอดรอให้เบรคเย็นลงก่อน
มาข้อนี้เป็นข้อเสนอแนะ นะครับ
- หากคุณยังไม่มีชั่วโมงบินมากพอ แนะว่าอย่าขี่นำเป็นคันหน้าหรือ คันแรก ทริปช่วงทางเขา ก็เพราะว่าคุณยังอ่านโค้งไม่ขาด มองไม่ออกว่าโค้งจะลึกรึเปล่าว? โค้ง2ขยักมั๊ย? ให้ขี่ตามดีกว่าครับ แล้วสังเกตุ อาการของคันหน้าที่เค๊ามี ประสพการณ์มากกว่า แล้วลองคาดการณ์การใช้เบรค หรือ เอนจินเบรค และอาการทางกายขณะเข้าโค้งดู ก็จะทราบว่า คุณควรจะทำอย่างไรเมื่อถึงตาของคุณบ้าง
- การแซงในโค้ง นั้นก็หมายถึงว่าคุณอยากลองของหละ แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตมารยาทอันดีที่พึงกระทำ คือให้กะช่วงที่คันหน้า กำลังเดินคันเร่งต้นๆของโค้ง แล้วคุณต้องเดินรอบเครื่องให้เร็วกว่า เมื่อประกบมาแล้วกลางโค้งคุณต้องรีดคันเร่งแซงเลย ไม่ลังเลใจ แต่ต้องเว้นช่วงห่างให้รู้สึกว่าปลอดภัยนะครับ แซงกันแบบปาด แบบแฮนด์รถแถบจะชนกันนี่ไม่เอาครับ เราไม่ได้มาแข่งกัน แค่ลองกันสนุกๆเฉยๆ พอหอมปากหอมคอเฉยๆ แล้วช่วงที่แซงนี่คุณต้องมองโค้งออกนะครับ โค้งแคบไม่เหมาะอย่างมาก อันตรายกับตัวคุณเอง หากมีรถสวน หรือ คุณเร็วไม่พอ ไลน์ของรถ2คันจะมาทับกันพอดี แต่ตามมารยาท ดันที่ถูกแซง เมื่อมองจากกระจกมองหลังแล้ว เห็นคันหลังกำลังจะแซง คงต้องเดินคันเร่งให้น้อยลงหน่อย เพื่อให้คันหลังเสียบขึ้นมาได้ ไม่หวาดเสียว เราไว้แซงคืนโค้งหน้าก็ได้ ( ก็เพื่อนกันทั้งนั้น )
- การไล่กันแบบ บี้ติดตูด กันใกล้ๆ ตามความเห็นก็สนุกดี ถ้าเอาแค่สนุกๆ แต่ถ้าเป็นทริปที่คุณขี่กับคนอื่น ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งครับ ยิ่งเพิ่งรู้จักด้วยนะ เพราะคุณไปสร้างความกดดันให้คนอื่น คันหน้าต้องพยายามหนี (สนุกตื่นเต้น )แต่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และหากใกล้กันเกินไปหากเบรคกระทันหัน คันหลังเสยตูดเลย( ไปทั้งคู่ )
- ในทีมคุณถ้าไม่สร้างภาพลักษณ์มากเกินไป ผมว่า สลับกันนำบ้าง สลับตำแหน่งในการขี่บ้าง จะดีมาก คือ ไม่เบื่อ ที่จะต้องมองหลัง หรือตูด ใครนานๆ ให้เค๊ามามองของเราบ้าง 55....
- ในกรณีที่มีมือใหม่ หรือ ขี่ช้า ไปด้วยกัน ต้องมีคนชำนาญทางคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ในบางช่วงของถนน ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ เช่นทางเขา(ขี่นำไลน์ ) , ทางชำรุด - หรือทางลื่น
- ให้แจ้งเส้นทางการเดินทาง ให้ทุกคนทราบและจะดีขึ้นถ้ามีแผนที่ ระหว่างจุดทางเลี้ยว ทางแยก ต้องทิ้งคนบอกทางไว้1คนเสมอ ( คนที่ช้ากว่าจะได้ไม่หลง แล้ว เบอร์โทรของแต่ละคนในทีม ทุกคนต้องมีไว้ เผื่อหลงหรือ รถเสียกลางทาง
- ระหว่างที่ขี่กันไปเรื่อยๆ ก็ให้สังเกตุ มองหลังบ้างเป็นบางครั้ง เพราะถ้าคันที่เราขี่แซงมาหายไป น่าจะเป็นข้อสังเกตุถึงความผิดปรกติได้ ให้คุณหาวิธีบอกคันหน้าๆ ให้ทราบแล้ว จอดรอซักพัก หากยังไม่มาอีกให้ส่งคันนึงวนกลับไปดู
- การจอดรถบนทางชันหรือทางลาด ให้สังเกตุพื้นที่จอดให้ดี อย่าจอดแบบขาตั้งเดี่ยว เพราะถ้าพื้นไม่แน่นพอ รถจะล้มเพราะน้ำหนักรถมาก ให้หาอะไรรองขาตั้ง และที่สำคัญคือทางลาดให้จอดรถเข้าเกียร์เสมอ จะได้ไม่ไหล หากเกิดอุบัติเหตุอย่าจอดรถช่วยทันที ให้จอดเลยจุดอันตรายไปก่อน เช่นทางโค้ง ทางแยก หรือ ปลายสะพาน
- หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ให้ทำสัญลักษณ์บอก รถยนต์ที่ตามหลังมาเพื่อที่จะได้ทราบ ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ และถ้ามีคนเจ็บ หากสลบหรือไม่รู้สึกตัว อย่าช่วยในทันที เช่น ยกหรือลาก อุ้ม ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะอาจเกิดอันตรายถึงตายได้ เราคนที่ช่วยต้องปล่อยไว้อย่างนั้น เรียกให้รู้สึกตัวก่อน ถามถึงอาการให้คนเจ็บลองขยับแขน-ขาดู ว่าเจ็บตรงไหน ถอดหมวกกันน็อคออก( ถ้าทำได้ ) หรือมีคนนึงช่วยประคองต้นคอไว้ แล้วอีกคน ค่อยๆดึงหมวกออก หากขยับตัวไม่ได้ให้เรียกหาคนช่วยทันที แต่ห้ามขยับเด็ดขาด จนกว่าคนที่มีความรู้เรื่องปฐมพยาบาลจะมา
- ขอให้ทุกคน นึกเสมอว่า เรามาเที่ยวกัน ไม่ได้มาขี่แข่งกัน ถ้าจะโชว์พาวเวอร์ หรือ อีโก้ ให้ไปลองกันในสนามเลย ชุดแข่งครบ พนันกันเลยก็ยังได้ แต่ ทีนี้เรามาเที่ยวกัน ให้นึกถึงความปลอดภัยไว้ก่อน ช่วงไหนเร็วไปน่าจะเกิดอันตรายก็ให้ลดความมี ทิฐิลงบ้าง เพื่อนกันทั้งนั้น ไปกลับปลอดภัย สนุกสนานกันทุกคนจะดีกว่า
- อีกอย่างนึง ขอบอกเป็นข้อคิด ข้อสุดท้ายคือ คำพูดที่ผมมักพูดบ่อยๆคือ " ไอ้คนที่ยังเหลือขี่อยู่ทุกวันนี้หนะ ไม่เก่งซักคน เพราะว่า ไอ้คนที่มันขี่เก่งๆหนะ มันตายหรือไม่ก็พิการไปหมดแล้ว " ก็จำมาจากรุ่นพี่ รุ่นน้า คนอื่นเหมือนๆกัน

ขอให้ ทุกคนสนุกสนานกับการขี่รถนะครับ
ปุ้ม118
( จบแล้วจ้า เขียนมาแบบน้ำลายแตกฟองถ้าผิดพลาดอย่าถือกันนะครับ )

credit: http://www.118bikes.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=232243

ขั้นตอนการจดสรรพสามิตbigbike

ขั้นตอนการชำระภาษีสรรพสามิต
เอกสาร ประกอบ
1.สำเนาอินวอยซ์
2. ใบเสร็จค่าแรงการประกอบรถ(ใบเสร็จนิสัยแย่คราวก็ได้)
3.รูปถ่ายตัวรถ 1 ใบ
4. ขูดเลขเครื่อง เลขคอ อย่างละ 2 ชุด
5.ใบคำร้องขอให้ประเมินการ ชำระภาษีสรรพสามิต(พิมพ์เอง)
6. ในกรณีที่เจ้าตัวไม่ได้ไปเองต้องมีหนังสือรับรองอำนาจ

รถ Invoice ส่วนมากจะนำเข้ามาในรูปแบบ อะไหล่ชิ้นส่วน เสียภาษีศุลกากร ประเภทอะไหล่ แต่ไม่ได้ เสียภาษีสรรพสามิต ในรูปแบบรถทั้งคัน อย่างน้อย ถ้าเสียภาษีสรรพสามิต แล้วว่าเป็นรถ ทั้งคันประกอบเสร็จ ก็อาจ นำใบที่กรมสรรพสามิต ออกยืนยัน ตัวรถ ไปลองจดทะเบียนที่ กรมการขนส่งได้ นะ อาจจะทำทะเบียนได้ในราคาถูกเหมือนรถทั่วไปก็ได้นะ

ลักษณะรถ Bigbike ใช้กันอยู่ คือ
1) ชิ้นส่วนอะไหล่ -> เสียภาษีศุลกากรขาเข้ารูปแบบอะไหล่ใช้แล้ว-->อะไหล่มาประกอบเป็นรถเต็ม คันสามารถวิ่งได้---รถเถื่อน
.
2) ชิ้นส่วนอะไหล่ -> เสียภาษีศุลกากรขาเข้ารูปแบบอะไหล่ใช้แล้ว --> ทำอะไหล่ประกอบเป็นรถเต็มคันสามารถวิ่งได้--->เสียภาษีสรรพสามิต ประเภทยานยนต์พาหนะ --> รถเต็มคันที่ถูกต้องตาม กม. --> เป็นรถไม่มีทะเบียน ไม่สามารถใช้วิ่งตามท้องถนนได้
.
3) ชิ้นส่วนอะไหล่ -> เสียภาษีศุลกากรขาเข้ารูปแบบอะไหล่ใช้แล้ว --> ทำอะไหล่ประกอบเป็นรถเต็มคันสามารถวิ่งได้--->เสียภาษีสรรพสามิต ประเภทยานยนต์พาหนะ -- รถเต็มคันที่ถูกต้องตาม กม. --> นำไปตรวจสภาพ จดทะเบียนที่ขนส่ง--> เป็นรถถูกต้องตามกม. สามารถนำมาวิ่งได้ตามปกติ.

- ข้อที่ 1 เสียแค่ภาษีศุลกากรขาเข้าในรูปแบบชิ้นส่วนอะไหล่ ได้ Invoice แต่นำรถมาประกอบเป็นคันใช้สอย ผิดจุดประสงค์ ถูกจับ เจ้าพนักงานมีสิทธิ์ สังปรับนำรถไม่เสียภาษีป้ายมาวิ่งในทาง ยึดไว้ตรวจสอบว่าเป็นรถจารกรรมมาหรือไม่ เพราะเป็นรถที่ประกอบเองจากชิ้นส่วนอะไหล่ ไม่สามารถชี้ชัดหรือยืนยันแน่ชัดของที่มาในชิ้นส่วนได้ยกเว้นแค่ โครงรถ,และเครื่องยนต์ เท่านั้นที่มีเอกสารทางศุลกากรออกกำกับให้ ทางเจ้าพนักงานมีสิทธิ์ ยึดไว้ตรวจสอบ
และส่งให้ทางสรรพสามิต เทียบปรับปรับอีกครั้ง.

-ข้อที่ 2 ตามหัวข้อที่ 1 เสียแค่ภาษีศุลกากรขาเข้าในรูปแบบชิ้นส่วนอะไหล่ ได้ Invoice นำรถมาประกอบเป็นคัน แล้ว ยืนเรื่อง ให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบประเมินราคาและเสียภาษี เมื่อผ่านมีหนังสือยืนยัน เทียบเท่าได้กับรถที่ประกอบ สมบรูณ์เป็นรถหนึ่งคันสามารถวิ่งได้ แต่ไม่สามารถใช้ในทางหลวงได้ ถ้าถูกจับโดย ตร. จะเทียบได้กับ รถจักรยานยนต์ เล็ก ที่ไม่มีป้าย หรืออยู่ในระหว่างรอป้าย เจ้าพนักงานจะแจ้งข้อหาเทียบปรับ นำรถที่ไม่เสียภาษีป้ายมาวิ่งในทาง ส่วนเรื่องยึดรถไว้เพื่อตรวจสอบจารกรรมนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจขอเจ้าพนักงานเท่านั้น ส่วนจะยึดเพื่อส่งต่อให้ทางสรรพสามิตนั้น คงตกไป เพราะได้ผ่านการตรวจสอบและเสียภาษีแล้ว ถ้าเจ้าของรถมีเอกสารยืนยัน การมีตัวตนของเจ้าของและการเสียภาษีสรรพสามิตที่ถูกต้อง ก็พ้นจากการยึดรถไว้ตรวจสอบ แต่จะต้องถูกปรับ ในข้อหานำรถที่ไม่เสียภาษีป้ายมาใช้ในทาง.

-ข้อที่ 3 รถคันนี้ได้เสีย ภาษีศุลกากรขาเข้า,ภาษีสรรพสามิตรูปแบบ ยานยนต์,นำรถไปตรงสภาพและจดทะเบียนป้าย เมื่อผ่านทางกรมการขนส่งทางบก ออกป้ายมาแล้วให้ถือว่าสิ้นสุด รถคันนั้น ได้เป็นรถที่ถูกต้องตาม กม. ที่ได้รับอนุญาตใช้วิ่งในทางได้** เจ้าพนักงานมีสิทธิ์ จับและเทียบปรับได้ (200-400 บาท)ในข้อหา วิ่งขวา,ผ่านไฟแดง,ขับโดยประมาท,ดัดแปลงชิ้นส่วน,อุปกรณ์พื้นฐานไม่ครบ เท่านั้น.

กรณีวิธีการคำนวณภาษีสรรพสามิต นำเข้าจากต่างประเทศ
ภาษี สรรพสามิต =( C.I.F. + อากรขาเข้า + ภาษีค่าธรรมเนียมอื่นไม่รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ) x อัตราภาษี) หารด้วย 1-(1.1x อัตราภาษี)
( อัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าร้อยละ 3 )

ตัวอย่าง การคำนวณภาษี
บริษัทผู้นำเข้ารายหนึ่ง นำเข้ารถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ จำนวน 1 คัน ราคา ซี.ไอ.เอฟ. 123,622.08 บาท (คือ ราคาสินค้า + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย) อากรขาเข้า 89,008.00 บาท และอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าร้อยละ 3
ดังนั้น***จะต้องชำระภาษีสรรพ สามิต = 6,079 บาท พร้อมด้วยภาษีเก็บเพิ่มเพื่อกระทรวงมหาดไทยร้อยละ 10 ของค่าภาษี = 607.9 บาท รวมภาษีต้องชำระ = 6,668.90 บาท

เรื่องน่า คิด(แล้วแต่ท่านจะพิจารณา)
1.รถจักรยานยนต์พวกนี้ เป็นรถที่นำชิ้นส่วนเข้ามาประกอบเป็นคันภายในประเทศครับ ซึ่งเป็นการหลบภาษีสรรพสามิตตั้งแต่ต้น ปกติรถที่นำเข้าทั้งคัน จะต้องเสียภาษีนำเข้า (ศุลกากร) ภาษีสรรพสามิต (ศุลกากรเป็นผู้เก็บแทน) อยู่แล้ว แต่พอนำเข้าเป็นชิ้นส่วน ก็จะเสียภาษีศุลกากรอีกอัตรานึง ซึ่งถูกกว่าการเสียภาษีแบบทั้งคัน ส่วนภาษีสรรพสามิตไม่ต้องเสียเพราะยังเป็นชิ้นส่วนอยู่(ยังไม่เป็นรถ)
2.การ ประเมินราคา ใช้ราคารถใหม่ในต่างประเทศ(ตอนยังเป็นรถใหม่)อ้างอิงด้วยบวกด้วยค่าใช้จ่าย ในการประกอบอีก
3.อัตราภาษี 3% ของราคาประเมิน บวกด้วยภาษีมหาดไทยอีก 10% ของภาษีสรรพสามิต เช่นราคาประเมิน 100000 บาท ภาษีสรรพสามิต 3% คือ 3000 และอีก 10 % ของสรรพสามิต คือ 300 รวมเป็น 3300 ครับ
4.เรื่อง เบี้ยปรับ ปกติสินค้าในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต จะต้องเสียภาษีก่อนที่จะนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม ถ้านำออกมาก่อนก็ต้องเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่าของค่าภาษีสรรพสามิต (3000*2=6000) ส่วนเงินเพิ่ม ต้องเสียร้อยละ 1.5 ต่อเดือน นับจากรถออกจากโรงอุตสาหกรรม
5.กรมสรรพสามิตมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม พวกนี้จะออกทำงานกันตลอด ดูสินค้าในพิกัดของกรมฯ (บางทีต้องทำกันตอนกลางคืนด้วย) และบางครั้งจะไม่แต่งเครื่องแบบเพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดรู้ตัว (คล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบ)

ที่มา / ข้อมูล / วันที่ 04/06/2009
http://www.soryon.com/41.html

ข้อมูลของอีก ท่านนึงครับ เอามาลงให้อ่านประกอบกัน กระทู้นี้ลงถาม-ตอบในเว็ปมอไซด์ดอทคอม

การ ขอชำระภาษีสรรพสามิตร สิ่งที่ต้องมีครับผม

1. สำเนาอินวอย ที่มีการนำเข้าทั้งหมายเลขเครื่องและหมายเลขตัวถัง (เอาของจริงไปด้วย)
2. สำเนาใบรับรองอินวอย จากกรมศุล (ใบเสร็จเล็กๆสีเหลืองออกให้โดยกรมศุลราคา 160 บาท) (เอาของจริงไปด้วย)
3. สำเนาใบเสร็จเจ้าของชื่อในอินวอย ในการซื้อเครื่องยนต์และตัวถังจากผู้นำเข้า (ปกติมีมากับอินวอย) (เอาของจริงไปด้วย)
4. สำเนาการซื้อขาย (หากชื่อในอินวอยเป็นบุคคลอื่น) เช่นสัญญาซื้อขายมีสำเนาบัตรที่ไม่หมดอายู และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขาย รับรองสำเนาเรียบร้อย (เอาของจริงไปด้วย)
5. สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ขอชำระภาษี และสำเนาทะเบียนบ้าน
6. ใบเสร็จการจ้างประกอบรถมอเตอร์ไซค์ มีอายุไม่เกิน 15 วัน (ขอซื้อที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ที่มีการจดทะเบียนถูกต้อง) ราคาในใบเสร็จประมาณ 3 - 4500 บาท
7. รูปถ่ายรถที่ประกอบเสร็จ ซ้าย – ขวา – หน้า – หลัง
8. ลอกเลขคอ เลขตัวถัง 2 ชุดให้อ่านชัดเจน
9. เอารถไปให้ดูเลขคอเลขตัวถังด้วย (บางแห่งไม่ต้อง)
ราคา ในการชำระ ใช้เกณท์ที่กำหนดมาจากกรมศุลเป็นมาตรฐาน คิด 3 เปอร์เซ็นต์จากราคากำหนด + 10 เปอร์เซ็นต์จากราคาที่คิดเป็นภาษีกระทรวงมหาดไทย (บำรุงท้องที่)

ตัวอย่าง
Honda CBR1100XX ราคาประเมิน 580,000.00 บาท 3 % = 17484 +10%ของราคาสรรพสามิตรที่ประเมิน 1660.98 +ค่าใช้จ่ายรถจักยานยนต์ 87.42
รวม จ่าย 19,232.00 บาท

Harley davidson 1450 ราคาประเมิน 1,010,000.00 บาท 3 % = 30036.00 +10%ของราคาสรรพสามิตรที่ประเมิน 2853.42 +ค่าใช้จ่ายรถจักยานยนต์ 150.18
รวมจ่าย 33,039.00 บาท ครับผม

ข้อมูล จากคุณสกุล วันที่05/06/2009
http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V7888325/V7888325.html

อินวอย์ คืออะไร

อินวอยส์เป็นเอกสารที่มีรายละเอียดของการนำเข้าของชิ้นส่วนรถ การเสียภาษีต่างๆ เอกสารประกอบอื่นๆเช่น ขนมาจากไหน
เอกสารที่คุณจะได้ รับตอนซื้อรถ คือ 1. ใบเสร็จเครื่องยนต์
2. ใบเสร็จ แฟรม
อธิบายนิดนึง อันนี้สำคัญมากนะครับ ใบเสร็จ1,2 ต้องเป็นใบของแท้ คือ ใบเสร็จที่ฉีกมาจากเล่ม มีเลขที่ เล่มที่ และประทับตรายาง มีลายเซ็นต์ ก็แบบซื้อของเอาไปเสร็จ ทั่วๆไปนั้นแหละครับ แต่ที่บอกสำคัญคือ คุณต้องได้2ใบนี้ห้ามขาดใบไหนใบนึงเด็ดขาด
3. เอกสารประกอบ คือใบชี้แจงรายละเอียดว่า ตู้คอนเทนเนอร์นี้ บรรทุกอะไรมาบ้าง เครื่องสารพัด อะไรก็จะเขียนไว้ในใบนี้หละครับ แล้ว ก็จะเอาปากกาเน้นข้อความขีดเครื่องของเราไว้ให้เห็นได้ชัดๆ
4. เอกสารประกอบ แฟรม ก็จะลักษณะเหมือน เครื่องยนต์ คือ เน้นข้อความที่เลขแฟรมของเราไว้
5. เอกสารอื่น ก็จะเป็นประเภท การเสียภาษี สารพัดจิปาถะ หลายใบมาก แต่รวมๆแล้วน่าจะถึง10 เชียวนะ
6. สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ของเจ้าของคนแรกที่ซื้อรถมา เพราะในใบเสร็จ เค๊าจะระบุว่าขายไปให้ใคร นาย หรือ นาง ไหน ถ้าเราเป็นเจ้าของคนแรกก็แล้วไป แต่ส่วนมากไม่ใช่ แล้วเรื่องเอกสารนี่มันสำคัญ เพราะว่า ถ้าเกิดคุณอยากเอารถคันนี้หละไปจดทะเบียนแท้ๆกับ ขนส่ง คุณต้องใช้อกสารของเจ้าของเดิมด้วย ให้ตรงกับที่ระบุในใบเสร็จเครื่อง เฟรม ฉะนั้น คุณควรจะต้องมีใบนี้ด้วย
สรุปเรื่อง ใบอินวอยส์ที่คุณจะต้องได้ตอนซื้อรถนะครับ
1. ใบเสร็จ เครื่อง - แฟรม ของแท้ๆ ใบถ่ายใช้ไม่ได้ นอกจากว่าจะได้รับการรับรองจากโกดัง ประทับตรายางแล้วเซ็นต์กำกับ ถ้าอย่างนี้ใช้ได้
2. เอกสารประกอบ เอามันให้เเยอะไว้ก่อนแล้วกัน
3. สำเนาบัตรฯ ของเจ้าของ ถ้าคุณคิดจะไปจดที่ขนส่งต้องมี แต่ถ้าไม่คิดจะไปจด ไม่ต้องก็ได้ แต่ผมว่ามีครบไว้ก่อนดีที่สุด
- ข้อเสนอแนะสุดท้าย ปัจจุบันรถอินวอยส์ไม่เหมาะสำหรับใช้ในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ๆแล้ว เป็นไปได้เก็บเงินเพิ่มซื้อรถมีทะเบียนดีกว่าขี่สบายใจกว่าเยอะ

เสริมต่อในเรื่องการโอนทะเบียนรถ โดยสิ่งที่คุณต้องเตรียมไปนะครับ
1. ใบคูมือจดทะเบียน อันนี้ต้องเช็คกันดีนะครับก่อนซื้อขายว่าทะเบียนนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่ อีกส่วนที่ไม่ควรมองข้ามคือลายเว็นในใบคู่มือต้องตรงกับลายเซ็นเอกสารชุดโอน สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน มิฉะนั้นจะโอนไม่ผ่านนะครับ

2.เอกสารชุดโอนอันนี้เราไปเอาได้ที่ขนส่งเลยแล้าเอามากรอกข้อมูลให้เรียบ ร้อยพร้อมกับให้เซ็นชื่อของคนซื้อคนขายพร้อมพยานอีก2คน

3. สำเนาบัตรประชาชนผู้ถือกรรมสิทธิ ต้องระวังวันหมดอายุด้วยนะครับพร้อมลายเซ็นรังรอง

4.สำเนาทะเบียน บ้านผู้ถือกรรมสิทธิพร้อมลายเซ็นรับรอง

5.ใบมอบอำนาจกรณีที่เราไม่ ได้ไปเองหรือว่าเป็นชุดโอนลอยมา ภายในระบุชื่อผู้ที่จะทำการดำเนินการโอนรถดังกล่าว

6.สำเนาบัตรประชาชนผู้ซื้อเซ็นรับรอง

7.สำเนาทะเบียนบ้านผู้ซื้อเซ็นรับรอง

8. คำสั่งศาล ในกรณีที่เจ้าของรถได้เสียชีวิต เราจะต้องใช้คำสั่งศาลในการสั่งให้ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้จัดการมรดก โดยในกรณีนี้เราต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน ของผู้ที่ศาลสั่งให้แทน
ขั้นตอน
1.นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นเรื่องกับฝ่ายตรวจสภาพของกรมขนส่ง
2.นำเข้าตรวจสอบสภาพกับเจ้าหน้าที่โดยในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ของกรมขนส่งจะขูด เลขเครื่อง เลขเฟรมรวมทั้งตรวจสภาพทั่ว ๆ ไป
3.เมื่อตรวจสภาพแล้วต้องไปรอรับเรื่องคืน เพื่อที่จะไปยื่นเรื่องต่อฝ่ายทะเบียนรถแผนกโอนย้าย
4.จ่ายเงินค่าธรรมเนียม รอรับเรื่องคืนตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารที่เรารับเป็นอันจบสิ้น
แต่ ย้ำนะครับว่ารถของท่านต้องถูกต้องมิฉะนั้นท่านจะมีความผิดทันทีและเรื่องจะ ยาวครับ
ฉะนั้นวิธีที่ได้ผลอย่างหนึ่งถ้าเราไม่ได้ซื้อกับร้านหรือบริษัท ที่ไว้ใจได้คือ จูงมือกันไปจ่ายเงินพร้อมโอนที่ขนส่งครับเพื่อความชัวล์

ขั้น ตอนการเอารถอินวอลย์ไปจดทะเบียน
ขั้นตอนการจดทะเบียน
1. ยื่นคำขอจดทะเบียน พร้อมหลักฐาน
2. นำรถไปตรวจสภาพ
3. ชำระค่าธรรมเนียมและภาษี
4.รับใบเสร็จรับเงินและแผ่นป้ายทะเบียนรถพร้อม ใบคู่มือจดทะเบียนรถการดำเนินการจดทะเบียนรถใหม่ หากเจ้าของรถมิได้มาดำเนินการด้วยตนเองจะต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่ผู้ ดำเนินการ แทนและผู้ดำเนินการแทนต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง
เอกสาร ที่ใช้ในการทำทะเบียนรถ (ทะเบียนแท้ จดจริง)

1. หลักฐานการได้มาของโครงคัสซี ได้แก่ ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีอากร แบบ 32 (ใบรับรองการนำเข้า) สำเนาใบขนสินค้าขาเข้า(INVOICE) ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรรับรองสำเนาถูกต้อง ใบเสร็จใบกำกับภาษีซื้อขายโครงคัสซีจากร้านที่จำหน่าย
2. หลักฐานการได้มาของเครื่องยนต์ ได้แก่ ใบแจ้งจำหน่าย ใบเสร็จ ใบกำกับภาษีซื้อขายเครื่องยนต์จากร้านที่จำหน่าย
3. ใบเสร็จใบกำกับภาษีค่าแรงประกอบรถ และใบเสร็จอุปกรณ์ส่วนควบ
4. หนังสือรับรองความมั่นคงแข็งแรงของรถจากวิศวกรและใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบ วิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ประเภท สาขาวิศวกรรมเครื่องยนต์
5. นำรถที่ประกอบแล้วไปติดต่อที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อตรวจสอบด้านความปลอดภัยและสารมลพิษจากเครื่องยนต์
6. นำรถไปติดต่อกรมสรรพสามิต เพื่อเสียภาษีกรมสรรพสามิต
ภาษีสรรพสามิต คือ ภาษีการขายเฉพาะที่เรียกเก็บจากสินค้าและบริการบางประเภท ซึ่งมีเหตุผล
สมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น สินค้าที่บริโภคแล้วอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและศีลธรรม
อันดี สินค้าและบริการที่มีลักษณะเป็นการฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่ได้รับผล ประโยชน์เป็นพิเศษจากรัฐ หรือสินค้าที่ก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในการที่จะต้องสร้างสิ่งอำนวยความ สะดวกต่าง ๆ เพื่อให้บริการผู้บริโภค หรือเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
รถจักรยานยนต์ ที่จัดเก็บภาษี มี 2 ประเภท คือ
-รถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ
-รถ จักรยานยนต์ 4 จังหวะ

รถจักรยานยนต์ - ชนิดเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ภาษี 3% ของราคาประเมิน (แต่ส่วนใหญ่ประเมินเป็นราคาป้ายแดง)
7. เอกสารเจ้าของรถ ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน
8. นำเอกสาร 1-7 มาติดต่อขอจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก (นำรถมาตรวจสภาพด้วย)

ขั้นตอนการเอารถอินวอลย์ไปจดทะเบียน

ขั้นตอนการจด ทะเบียน
1. ยื่นคำขอจดทะเบียน พร้อมหลักฐาน
2. นำรถไปตรวจสภาพ
3. ชำระค่าธรรมเนียมและภาษี
4.รับใบเสร็จรับเงินและแผ่นป้ายทะเบียนรถ พร้อมใบคู่มือจดทะเบียนรถการดำเนินการจดทะเบียนรถใหม่ หากเจ้าของรถมิได้มาดำเนินการด้วยตนเองจะต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่ผู้ ดำเนินการ แทนและผู้ดำเนินการแทนต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง
เอกสาร ที่ใช้ในการทำทะเบียนรถ (ทะเบียนแท้ จดจริง)

1. หลักฐานการได้มาของโครงคัสซี ได้แก่ ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีอากร แบบ 32 (ใบรับรองการนำเข้า) สำเนาใบขนสินค้าขาเข้า(INVOICE) ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรรับรองสำเนาถูกต้อง ใบเสร็จใบกำกับภาษีซื้อขายโครงคัสซีจากร้านที่จำหน่าย
2. หลักฐานการได้มาของเครื่องยนต์ ได้แก่ ใบแจ้งจำหน่าย ใบเสร็จ ใบกำกับภาษีซื้อขายเครื่องยนต์จากร้านที่จำหน่าย
3. ใบเสร็จใบกำกับภาษีค่าแรงประกอบรถ และใบเสร็จอุปกรณ์ส่วนควบ
4. หนังสือรับรองความมั่นคงแข็งแรงของรถจากวิศวกรและใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบ วิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ประเภท สาขาวิศวกรรมเครื่องยนต์
5. นำรถที่ประกอบแล้วไปติดต่อที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อตรวจสอบด้านความปลอดภัยและสารมลพิษจากเครื่องยนต์ ซึ่ง ต้องเสียเงินค่าตรวจครั้งละ 27,000 ถ้าผมจำไม่ผิดถ้าผ่าน ก็น้ำไปจดทะเบียนได้เลย ถ้าไม่ผ่าน ก็นำกลับมาแก้ไข และส่งตรวจใหม่ ซึ่งก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมใหม่ ซึ่งในความจริง ถ้ารถคุณไม่ใช้หัวฉีดไม่มีทางผ่านมาตรฐานได้อย่างถูกต้อง
6. นำรถไปติดต่อกรมสรรพสามิต เพื่อเสียภาษีกรมสรรพสามิตโดยคิตเรตภาษี 3% ของราคาประเมิน แต่ส่วนใหญ่ประเมินเป็นราคาป้ายแดง ไม่ว่ารถคุณจะเป็น SF400ปีไหนก็แล้วแต่ จะถูกประเมิณจากราคาปีใหม่ล่าสุด ซึ่งตามราคา น่าจะอยู่ที่ 3 แสนบาท เท่ากับค่าภาษีในส่วนนี้ ประมาณ 9,000 บาทหรือมากกว่า
7. เอกสารเจ้าของรถ ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน
8. นำเอกสาร 1-7 มาติดต่อขอจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก (นำรถมาตรวจสภาพด้วย)
ส่วนมากพวกที่รับจ้างทำนั้น คิด ที่ 60,000 บาทขั้นต่ำ และต้องรอจังหวะที่จะเข้าตรวจด้วย ทำให้ไม่ค่อยคุ้มค่าที่จะทำเท่าไรนัก หลาย ๆ คนจึงยอมขี่ไปซักพักก่อนที่จะ ขายและเอาเงินที่จะจดทะเบียนไปซื้อตัวที่ใหญ่กว่า